เสี่ยวเฮอกล่าวว่า “อาจจะดีขึ้นมามากหน่อยแล้ว รายละเอียดบ่าวก็ไม่รู้ บ่าวก็ได้ยินนางกำนัลคนอื่นๆที่ไปส่งพระราชบุตรกับองค์หญิงที่สำนักพูดกันเพคะ”
เจ้าน่องน้อยคึกคักมีชีวิตชีวา วันหนึ่งต้องมีไม่กี่คนมาสับเปลี่ยนเฝ้าดูเขาเล่น
วันนี้หลังช่วงกลางวัน เจ้าน่องน้อยนั่งที่ริมทะเลสาบหน้าพระตำหนักไท่เหอหยอกล้อจระเข้ เงยหน้ามองไปที่ฝั่งตรงข้ามอย่างไม่ตั้งใจ มองเห็นเงาคนเรือนลางเดินผ่านฝั่งตรงข้าม
เจ้าน่องน้อยก็ปีนป่ายขึ้น วิ่งโซเซไปถึงสะพานไม้แล้ว
เสี่ยวเฮอไม่ได้สนใจ คิดว่าเขามองพระราชบุตรหรือองค์หญิงพระองค์ไหนเล่นอยู่บริเวณใกล้เคียง เหมือนกับตอนเช้าตรู่ที่พระราชบุตรและองค์หญิงตรงไปท่องตำราที่โรงเรียนไท่ ที่เจ้าน่องน้อยมักจะมองดูอยู่เสมอ
เจ้าน่องน้อยสายตาดีมาก มีผู้กำลังเดินผ่านถนนเล็กๆจากฝั่งตรงข้ามจริง
บริเวณโดยรอบเป็นทิวทัศน์หิมะราบเรียบ ขับให้ความเย็นชาของเงาคนเด่นขึ้น
ชุดขุนนางสีสันงดงาม ผมดำขลับบนไหล่นั้น มีเส้นผมไม่กี่เส้นตั้งตระหง่านขึ้นในอากาศ เลือนรางสลัวคือลักษณะของแขนเสื้อสองข้างที่ลมพัดเย็นสบาย
ฝ่าเท้าเจ้าน่องน้อยคล่องแคล่ว วิ่งเร็วผิดปกติ โซซัดโซเซผ่านข้ามสะพานไม้ไป
เขาวิ่งเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เมื่อก่อนเดินล้วนโคลงเคลงคดโค้งไม่มั่นคงอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าตอนนี้คล่องแคล่วเช่นนี้ เดาว่าพละกำลังที่มากที่สุดได้ใช้ออกมาแล้ว
สะพานไม้พิงเอียงไปทางฝั่งตรงข้าม ด้านนั้นเป็นทางลาดโค้งลงรัศมีวงกลม เขาวิ่งลงไปนั้นหยุดไม่ได้เลย
รอจนตอนที่เสี่ยวเฮอพบเจอ เขาก็วิ่งไปถึงฝั่งตรงข้ามแล้ว
องค์จักรพรรดิอนุญาตเจ้าน่องน้อยออกนอกพระตำหนักไท่เหอมาเดินที่สวนดอกไม้ได้ ด้วยเหตุนี้ทหารอารักขาชำเลืองเห็นเจ้าน่องน้อยวิ่งออกมา ชะงักงันชั่วประเดียวเดี๋ยว ไม่รู้ว่าควรที่จะรั้งรู้ว่าไม่ควรรั้งไว้
ช่วงที่ลังเลใจนี้ เจ้าน่องน้อยที่ตัวเล็กทรงพลังก็วิ่งตามเส้นทางนั้นไปด้านหน้าแล้ว
ตรงหน้าเงาร่างที่เดินผ่านป่าต้นสนนั้นสำหรับเขาแล้วสูงใหญ่ราวกับภูเขา ไม่เร่งไม่รีบ
เจ้าน่องน้อยมองเขา ฝีเท้าไม่เคยหยุดเลย
เสี่ยวเฮอที่อยู่ด้านหลังตามมาแล้ว หายใจถี่หอบกล่าวขึ้นว่า “ท่านชายน้อย อย่าวิ่งเลย ไม่สามารถออกมาห่างจากพระตำหนักไท่เหอไกลเกินไปนะ........”
เจ้าน่องน้อยดึงดันวิ่งไปด้านหน้าระยะหนึ่ง ฝีเท้าสุด สุดท้ายได้ล้มลงบนพื้น
เขาเงยศีรษะขึ้น แววตามีความชื้นแทรกซึมมองเงาร่างที่กำลังใกล้จะเลือนหายไปจากทางเล็กที่ป่าต้นสนแล้ว
เจ้าน่องน้อยอ้าปาก กล่าวว่า “อ้อแอ้”เหมือนเรียกเขาให้หยุด
เสี่ยวเฮอมองตามไป ชะงักงัน นี่ถึงได้พบว่าด้านหน้าที่อยู่ใต้ต้นสนนั้นที่แท้ยังมีคนผู้หนึ่งอยู่
นางเข้าใจทันที เจ้าน่องน้อยต้องเห็นมีคนเดินผ่านฝั่งตรงข้ามพระตำหนักเป็นแน่ ให้เขาชำเลืองมองไป เพราะฉะนั้นตลอดเส้นทางถึงได้ตามอย่างไม่ละทิ้ง
มองภาพด้านหลังนั้น ราวกับเป็นขุนนางท่านไหนที่ถูกเจ้านายเรียกเข้าพบ
เพราะว่าเขาสวมใส่ชุดเครื่องแบบขุนนาง บนปลายเสื้อที่เลือนรางเป็นลวดลายนกกระเรียน รองเท้าสีดำ เดินเหยียบย่ำบนหิมะโดยไร้เสียง มือทั้งสองข้างห้อยอยู่ในแขนเสื้อ เลือนรางสลัวๆแต่ขาวสะอาดเป็นอย่างมาก ทำให้คนรู้สึกได้ว่าสะอาดเรียบร้อย สูงชะลูดสง่าดูดี
เสี่ยวเฮอไม่เคยเห็นขุนนางท่านไหนที่สวมใส่ชุดเครื่องแบบขุนนางได้หล่อเหลาเช่นนี้ แม้ว่านางไม่เคยเจอใต้เท้าหลายท่านในราชสำนักเลย
แต่ราวกับนางสามารถเข้าใจได้ เหตุใดเจ้าน่องน้อยต้องตามเขาไป หล่อเหลาอย่างนี้ใครไม่อยากดูให้มากหน่อยล่ะ
เพราะว่าเสียงเรียกของเจ้าน่องน้อย เดิมฝีเท้าที่ก้าวเดินไปข้างหน้าของเขาหยุดลงทันที
ร่างกายชะงักงัน ตามด้วยเห็นกลับมาอย่างนุ่มนวล สีหน้าราบเรียบ
ตาดวงเล็กยาวคู่นั้น ลึกซึ้งและเงียบสงบไกลๆ
เขามองเจ้าน่องน้อย และหลังจากนั้นอยู่ที่พื้นที่ป่าไม้แล้วกล่าวกับเสี่ยวเฮอว่า “อากาศหนาวเหน็บ พาเขากลับไปเถิด”
เจ้าน่องน้อยปีนป่ายขึ้นมาได้ก็อยากจะตามไป เสี่ยวเฮอที่ชะงักงันได้สติกลับมา รีบอุ้มเจ้าน่องน้อยขึ้น คำนับคารวะอย่างลวกๆ แล้วกล่าวขึ้นว่า “บ่าวจะพาท่านชายน้อยกลับไปแล้วเจ้าค่ะ”
เจ้าน่องน้อยคว่ำหน้าอยู่บนไหล่ของเสี่ยวเฮอ มองเขาโดยตลอด ห่างไกลจากเขามากขึ้นเรื่อยๆ
เขาไม่ได้เดินจากไป แต่ยืนอยู่ที่เดิมอย่างสงบ และมองเจ้าน่องน้อยเรือนหายไปจากเส้นทาง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...