เสี่ยวเฮอเสนอข้อคิดเห็นอีกว่า “ไม่อย่างนั้นให้ท่านชายน้อยไปฟังการสอนในโรงเรียนไท่หน่อยเถิดเพคะ ให้บัณฑิตชี้แนะบ้างเพคะ”
อวี้เยี่ยนกล่าวว่า “เจ้าพูดง่าย องค์จักรพรรดิจะเห็นด้วยได้อย่างไร”
เฉินเสียนกับเจ้าน่องน้อยเข้ามาในพระราชวังไม่ใช่ว่ามาอย่างสบายไม่มีอุปสรรค แต่เป็นการกักบริเวณ
โดยแก่นแท้องค์จักรพรรดิไม่มีทางหาราชครูให้เจ้าน่องน้อยเพื่อมาสอนเขาหรอก ยิ่งกว่านั้นคือการไปที่โรงเรียนไท่ฟังซูเจ๋อสอนตำรา
เจ้าน่องน้อยยังเล็กเกินไป โดยพื้นฐานก็ฟังไม่เข้าใจหรอก และเฉินเสียนอยู่ในพระราชวังนี้ พยายามไม่พบเจอใกล้ชิดซูเจ๋อนั้นเป็นสิ่งที่ดี
แต่เฉินเสียนพบว่า หลังจากที่เสี่ยวเฮอพูดออกมาอย่างนี้แล้ว กลับกลายเป็นความเพ้อฝันในใจเฉินเสียน
หากว่าซูเจ๋อยินยอมสอนเจ้าน่องน้อย ให้ความรู้ระดับที่สูงขึ้นแก่เจ้าน่องน้อย อนาคตเจ้าน่องน้อยก็ต้องเก่งกาจเหมือนกับเขาแหละ
แม่นมซุยคือแม่นมของเจ้าน่องน้อย โดยปกติยามค่ำคืนเป็นแม่นมซุยที่ดูแลเฉินเสียนกับลูกชาย
เจ้าน่องน้อยนอนอยู่ข้างใน เฉินเสียนหยิบตำราอ่านอยู่ในมือ ในพระตำหนักไท่เหอนี้มีตำราไม่น้อย ราวกับเตรียมพร้อมเพื่อกักขังลงโทษเหล่าพระราชบุตร โดยธรรมชาติไม่ใช่ตำราของบุคคลที่ไม่มีตำแหน่ง แต่ว่าครั้งเดียวก็ยังไม่ได้ใช้ ตอนนี้ทั้งหมดล้วนหยิบลงมาให้เฉินเสียนอ่านฆ่าเวลา
แม่นมซุยกล่าวว่า “องค์หญิงรีบพักผ่อนเถิดเพคะ สีท้องฟ้าก็ดึกแล้ว ระมัดระวังจะทำร้ายดวงตานะเพคะ”
เฉินเสียนไม่ตอบรับ อ่านตำราจนมีจิตใจล่องลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เจ้าน่องน้อยอยู่ข้างกายเธอนอนหลับไปแล้ว เธอสวมใส่ชุดนอน ปล่อยผมดำนุ่มลื่นลง ทั่วทั้งร่างมีความแวววาวที่อบอุ่นนุ่มนวล
“องค์หญิงมีเรื่องในใจหรือเพคะ?”แม่นมซุยถามเบาๆ
เฉินเสียนได้สติกลับมา กล่าวขึ้นว่า “เอ้อร์เหนียง เจ้ารู้สึกว่าข้าเอาเจ้าน่องน้อยไปในโรงเรียนไท่ เหมาะสมหรือไม่?”
แม่นมซุยยิ้ม แล้วกล่าวขึ้นว่า “องค์หญิงนำคำพูดของเสี่ยวเฮอเก็บมาใส่ใจแล้ว บ่าวรู้สึกว่า ไม่ใช่ว่าไม่ได้นะเพคะ”
แม่นมซุยกล่าวอีกว่า “แม้ว่าองค์หญิงจะไม่สะดวกพบเจอใต้เท้า แต่ถึงอย่างไรเจ้าน่องน้อยไม่ถึงขนาดว่าไม่สะดวกนะเพคะ ให้เจ้าน่องน้อยใกล้ชิดกับใต้เท้ามากๆถึงอย่างไรมันก็เป็นประโยชน์ เพียงแค่องค์หญิงไม่ออกหน้าก็พอแล้ว แม้องค์จักรพรรดิจะจ้องมองอย่างเข้มงวดอีก ก็ไม่สามารถหาความผิดพลาดอะไรเจอได้ รอตอนที่เจ้าน่องน้อยเลิกเรียน บางเวลาที่องค์หญิงว่าไปรับเจ้าน่องน้อย ยังจะสามารถพบเจอหน้าใต้เท้าได้บ้างเพคะ”
เฉินเสียนยิ้ม ระหว่างคิ้วปรากฏการป่วยเป็นไข้ใจ กล่าวว่า “เอ้อร์เหนียง เจ้าเกือบจะพูดโน้มน้าวจนข้าเห็นด้วยแล้ว แต่ข้ากับเขาพบกันในพระราชวัง ไม่เหมาะสมหรอก”
“ไม่ได้ทำเรื่องที่ออกนอกกรอบ องค์หญิงเพียงแค่ไปรับเจ้าน่องน้อยกลับมา มีสิ่งใดไม่เหมาะสมเพคะ? อีกทั้งแต่ก่อนใต้เท้าก็เป็นราชครูขององค์หญิงด้วย พบเจอแล้วทักทายกับเป็นตามหลักธรรมทำนองคลองธรรม เมื่อก่อนไม่ได้อยู่สถานที่เดียวกัน องค์หญิงไม่พบเจอใต้เท้าก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว แต่วันนี้อยู่ในพระราชวัง หากองค์หญิงหลบเลี่ยงอีกก็ดูเหมือนสุดความสามารถแล้วแหละเพคะ”
แม่นมซุยยังกล่าวว่า “ในเมื่อองค์จักรพรรดิกักบริเวณองค์หญิงอยู่ที่นี่ ก็ไม่ได้กักเต็มที่อย่างถึงที่สุด สู้ไม่ได้กับการถือโอกาสทำอย่างสง่าผ่าเผยไปเลยนะเพคะ ควรจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้นเพคะ”
เฉินเสียนวางตำราลง นวดคลึงหัวคิ้ว แล้วกล่าวว่า “ที่จริงก็ดึกแล้ว เอ้อร์เหนียงไปนอนเถิด”
วันต่อมา เจ้าน่องน้อยหยอกล้อจระเข้อยู่ริมทะเลสาบ นี่เหมือนกับกลายเป็นเรื่องหนึ่งที่เขาต้องมาทำเป็นขั้นตอนทุกวันเลย
เพราะว่าพระตำหนักไท่เหอเล็กเกินไปแล้วก็น่าเบื่อเกินไปจริงๆ
เฉินเสียนก็คล้อยตามเขา
เธอก้มศีรษะลูบไล้ขลุ่ยไม้ไผ่ที่อยู่ระหว่างเอว หยิบมันออกมนำมาเล่นในมือ
ขลุ่ยไม้ไผ่นี้วันเดียวเธอก็ไม่เคยทำตกหล่นทิ้งไว้เลย ทุกวันล้วนนำมาห้อยไว้ที่เอว
เฉินเสียนจำได้ตอนที่ราชนิเวศน์เย่เหลียงเคยได้ฟังซูเจ๋อพูดว่า ความหมายแรกเริ่มที่มอบขลุ่ยไม้ไผ่นี้ให้กับเธอคือหวังว่าจะสามารถได้ยินเธอเป่ามัน
เธอแปะห้อยไว้ที่ตัวมาโดยตลอด แต่ทว่าไม่เคยหยิบมันออกมาเป่าเลย
หากตอนนี้เธอเป่าขึ้น ไม่รู้ว่าซูเจ๋อจะได้ยินหรือไม่
เฉินเสียนหยิบขลุ่ยไม้ไผ่วางไว้ที่ริมฝีปาก เป่ามันขึ้นมาอย่างเอ้อระเหย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...