เป็นความจริงที่เจ้าน่องน้อยจะปลอดภัยเมื่ออยู่ที่โรงเรียนไท่ ไม่ว่าพระสนมฉีจะอวดดีแค่ไหน แต่นางก็ไม่โง่ถึงขนาดจะไปก่อเรื่องถึงในโรงเรียนไท่ ที่นั่นเป็นสถานที่อันสงบสำหรับให้องค์หญิงองค์ชายเรียนหนังสือ ถ้าก่อเรื่องใหญ่ขึ้นมามีแต่จะทำให้จักรพรรดิทรงกริ้วและจะกลายเป็นเสียแรงเปล่า
ดังนั้นพระสนมฉีจะมาได้ก็แต่ที่พระตำหนักไท่เหอเท่านั้น
เฉินเสียนกล่าวว่า “วันนี้ช่างเถอะ เมื่อถึงเวลาเลิกเรียนเอ้อร์เหนียงไปรับเจ้าน่องน้อยกลับมาด้วยก็แล้วกัน เช่นนั้นข้าถึงจะวางใจ”
ถ้าหากพระสนมฉีมาดักรออยู่ระหว่างทาง แม่นมซุยน่าจะรับมือได้ดีกว่าเสี่ยวเฮอ
เฉินเสียนก็แค่กังวลเท่านั้น แต่เธอคิดว่าสองสามวันนี้พระสนมฉีคงจะยังไม่มา องค์ชายห้าเป็นแบบนั้น ถ้าหากพระสนมฉีจะยังมาหาเรื่องโดยไม่สนใจเขา เช่นนั้นก็แปลว่านางไม่เห็นความสำคัญขององค์ชายห้า
เมื่อเวลาผ่านไป เฉินเสียนก็เดาว่าน่าจะถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว ขณะที่เธอคิดว่าแม่นมซุยน่าจะไปรับเจ้าน่องน้อยแล้ว แม่นมซุยกลับวิ่งเข้ามาหาเธออย่างรีบร้อนและกล่าวว่า “องค์หญิงเพคะ บ่าวเคี่ยวซุปจนลืมเวลา ตอนนี้เจ้าน่องน้อยยังอยู่ที่โรงเรียนไท่ บ่าวยังไม่มีเวลาไปรับกลับมาเลยเพคะ”
เฉินเสียนขมวดคิ้วและฟังสิ่งที่แม่นมซุยพูดต่อ “ซุปยังเคี่ยวไม่เสร็จ บ่าวยังละไปไม่ได้เพคะ หากให้อวี้เยี่ยนกับเสี่ยวเฮอไปแทน และพบพระสนมฉีมาก่อปัญหาระหว่างทางคงจะแย่ เช่นนี้องค์หญิงทรงไปรับเจ้าน่องน้อยจากโรงเรียนด้วยพระองค์เองดีกว่าหรือไม่เพคะ”
เฉินเสียนมองใบหน้าที่ซื่อสัตย์ของแม่นมซุยและกล่าวว่า “ปกติพวกเจ้าออกจะว่าง แต่วันนี้กลับงานยุ่งขึ้นมาพร้อมกันเสียอย่างนั้น”
แม่นมซุยหยิบเสื้อคลุมมาให้เฉินเสียนด้วยตอนที่นางเข้ามาในห้อง นางเอ่ยเบาๆ ว่า “องค์หญิงยังไม่เคยไปรับเจ้าน่องน้อยเลยสักครั้งตั้งแต่เขาไปเรียนที่โรงเรียนไท่ ตอนนี้ไปเสียหน่อยจะเป็นไรเพคะ”
เฉินเสียนลดสายตาลงมองเสื้อคลุมที่แม่นมซุยนำมาให้ แม่นมซุยยังกล่าวอีกว่า “หากองค์หญิงอยากไปทอดพระเนตร ก็ใช้โอกาสนี้ทำเสียว่าไปที่นั่นตามปกติเลยสิเพคะ ทอดพระเนตรนิดหน่อยไม่เป็นไรหรอก”
แม่นมซุยยังกล่าวอีกว่า “เพียงแต่ว่าเจ้าน้องน้อยมีความคิดที่ละเอียดอ่อนกว่าเด็กทั่วไป เด็กรู้ความปรารถนาของเขาดีที่สุด บ่าวขอองค์หญิงอย่าทรงกริ้วเขาเลยนะเพคะ แม่ลูกมีอะไรก็ค่อยคุยกัน แล้วทุกอย่างจะดีเอง”
มีหรือที่เฉินเสียนจะไม่รู้ว่าโลกภายในใจของเจ้าน่องน้อยนั้นอ่อนโยนและซื่อตรงมาก ตอนเช้าเธอก็แค่พูดไปอย่างโกรธเคืองเล็กน้อย จะไปโกรธเขาจริงๆ ได้อย่างไรกัน
เจ้าน่องน้อยชอบสิ่งใดก็ลงมือทำสิ่งนั้น นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ซึ่งไม่มีอะไรผิดเลย
คนผิดคือเธอ เพราะมีหลายเรื่องที่ไม่แน่ใจ เธอเลยพาลอารมณ์ไม่ดีใส่
เฉินเสียนยิ้ม เธอหยิบเสื้อคลุมมาพาดบ่าและกล่าวว่า “เอ้อร์เหนียงเข้าใจข้าดีที่สุดเสมอ”
แม่นมซุยกล่าวว่า “องค์หญิงอย่าล้อเล่นสิเพคะ บ่าวแค่ผ่านประสบการณ์มาเยอะ”
รอยยิ้มของเฉินเสียนจางหายไป เธอกล่าวว่า “ข้ากลัว กลัวว่าถ้าเจ้าน่องน้อยดูเหมือนเขาจริงๆ จนแม้แต่เสี่ยวเฮอยังมองออก คนอื่นก็ย่อมมองออกเช่นกัน”
สาเหตุที่เธออารมณ์ไม่ดีทั้งหมดเป็นเพราะความกังวลและความกลัว เธอกลัวว่าจะมีคนนำเจ้าน่องน้อยไปเปรียบเทียบกับซูเจ๋อ กลัวว่าผลลัพธ์ของการเปรียบเทียบจะทำให้ผู้คนตกใจ รวมทั้งเธอเองด้วย
ถ้าเกิดเป็นเช่นนั้นจริงๆ เฉินเสียนไม่อยากจะคิดเลย
เมื่อคืนเฉินเสียนนอนมองเจ้าน่องน้อยและคิดอยู่ครึ่งค่อนคืน ถึงแม้ว่าเจ้าน่องน้อยจะชอบไปโรงเรียนไท่มากแค่ไหน แต่เธอก็คิดว่าตนเองคงตามใจเขาอีกไม่ได้ เธอต้องรีบตัดไฟเสียแต่ต้นลม จะปล่อยให้เจ้าน่องน้อยไปอยู่กับซูเจ๋อที่โรงเรียนไท่ไม่ได้อีก
แม่นมซุยกล่าวว่า “เพคะ ในเมื่อเสี่ยวเฮอกล่าวเช่นนั้น องค์หญิงควรไปทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง ถ้าเสี่ยวเฮอไม่ได้พูดเกินจริง คราวหน้าองค์หญิงจะได้ไม่ปล่อยให้เจ้าน่องน้อยไปอีก บ่าวเองก็จะคอยจับตาดูอย่างใกล้ชิดเพคะ”
“เอาละ” เฉินเสียนเงยหน้าขึ้นอย่างครุ่นคิด หรี่ตามองไปทางทะเลสาบอันเงียบสงบที่หน้าพระตำหนักไท่เหอ น้ำที่อบอุ่นในทะเลสาบ ความร้อนปะทะความเย็นและอบอวลไปด้วยไอหมอกจางๆ เธอพ่นลมหายใจทางปากและกล่าวว่า “หิมะตกอีกแล้ว”
หิมะลอยตกลงมาจากฟากฟ้า และน้ำในทะเลสาบไม่เคยเป็นน้ำแข็ง เกล็ดหิมะตกลงมากระทบราวบันได แต่ไม่นานหลังจากนั้นก็ละลายกลายเป็นทางน้ำที่เปียกชื้น
นับเป็นปรากฏการณ์ที่กว้างใหญ่อีกด้านหนึ่ง อากาศหนาวจัด และหิมะก็ตกลงมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...