สรุปเนื้อหา บทที่ 463 ไม่ตลกเลยสักนิด – ข้าคือหงส์พันปี โดย เฉียน หราน จวิน เสี้ยว
บท บทที่ 463 ไม่ตลกเลยสักนิด ของ ข้าคือหงส์พันปี ในหมวดนิยายInternet เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย เฉียน หราน จวิน เสี้ยว อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที
เฉินเสียนหันไปมองชายหนุ่มซึ่งอยู่ในชุดขุนนาง เธออยากจะยิ้ม แต่ยิ้มไม่ออก
เหมือนกันขนาดนี้ เขากำลังล้อเธอเล่นหรือเปล่า? มันไม่ตลกเลยจริงๆ นะ
เธอเคยคิดว่าพ่อของเจ้าน่องน้อยอาจจะเป็นใครก็ได้ แต่คนเดียวที่เธอไม่กล้าคิดเพ้อและคาดหวังก็คือซูเจ๋อ
ตอนที่เพิ่งมาถึงจิตใจของเฉินเสียนสงบมาก ทว่าในที่สุดมันก็กลับไปยุ่งเหยิงเช่นเดิม
เธอได้เห็นซูเจ๋อตามที่ต้องการ ความสับสนภายในใจซึ่งกองสุมจนกลายเป็นภูเขาสูงกำลังจะเอียงล้มลงมา เธอยืนอยู่บนยอดเขานั้น เห็นได้ชัดว่าแค่เอื้อมไปอีกนิดเดียว เธอก็จะขจัดเมฆหมอกนั่นได้แล้ว
แต่จนถึงตอนนี้เธอกลับรู้สึกสับสนว้าวุ่นไปหมด
ซูเจ๋อเงยหน้ามองมาทางประตูใหญ่หลังจากสอนจนจบบทความ ทันใดนั้นสายตาก็ประสานเข้ากับสายตาของเฉินเสียน มองตรงลึกเข้าไปในก้นบึ้งของหัวใจเธอ
เฉินเสียนได้สติกลับมาได้ทันที เธอหลบสายตาและรีบก้มหน้าลงเพื่อสงบสติอารมณ์
ปรากฏว่าเขารู้ตัวตั้งนานแล้วว่าเธอมาที่นี่
ซูเจ๋อปิดตำราและพูดกับเจ้าน่องน้อยว่า “วันนี้หยุดแค่ตรงนี้ก่อน ท่านแม่ของเจ้ามารับแล้ว เจ้ารีบกลับเถิด”
เจ้าน่องน้อยเงยหน้าขึ้น สอดส่องนัยน์ตาซึ่งแบ่งเป็นสีขาวและสีดำอย่างชัดเจนไปที่ประตู เมื่อมองเห็นเฉินเสียน ดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย
เฉินเสียนจำเป็นต้องผลักประตูเข้าไป เธอเดินไปจนถึงใต้ต้นหวู่ถงซึ่งอยู่ภายในลาน
ลมหนาวพัดมาปะทะชายเสื้อของซูเจ๋อ เขานั่งอยู่ตรงประตูด้วยท่าทีสบายๆ ราวกับว่าที่ตรงนั้นขาวสะอาดยิ่งกว่าหิมะที่อยู่รอบๆ ลาน
เห็นได้ชัดว่าดวงตาที่ลุ่มลึกคู่นั้นไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดเข้าไปเมื่อถูกสายตาคู่นั้นจ้องมอง
เมื่อคำพูดขึ้นมาอยู่ที่ริมฝีปาก เฉินเสียนกลับรู้สึกเหมือนมีก้อนจุกอยู่ที่ลำคอ ในที่สุดเธอก็กล้ำกลืนมันลงไปและกล่าวเพียงว่า “วันนี้มาสายไปหน่อย เลยทำให้ใต้เท้าซูต้องลำบาก”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “ไม่เป็นไร” เขาลูบเจ้าน่องน้อยและเอ่ยด้วยรอยยิ้มจางๆ ว่า “เจ้าน่องน้อยฉลาดมาก”
เฉินเสียนใจเต้นแรง กวักมือเรียกเจ้าน่องน้อยว่า “เจ้าน่องน้อย มานี่มา”
ซูเจ๋อดึงมือกลับเป็นสัญญาณให้เจ้าน่องน้อยไปหาเฉินเสียน เขาเดินเตาะแตะลงมาจากบันไดและไปยืนอยู่ตรงหน้าเฉินเสียน เงยศีรษะเล็กๆ ของตนมองเฉินเสียนเล็กน้อยอย่างเอาใจ
วันนี้เป็นเขาที่แอบหนีออกมา และเขาก็กลัวว่าเฉินเสียนจะยังโกรธเขาอยู่
เฉินเสียนบอกว่า “วันนี้บอกไม่ให้มาเจ้าก็ยังแอบมา แต่ตอนนี้แม่ต้องบอกให้เจ้าเข้าใจชัดๆ ว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่เจ้าจะได้มาโรงเรียนไท่ ถ้าพรุ่งนี้เจ้ามาอีก แม่จะมัดมือมัดเท้าของเจ้าไว้”
เฉินเสียนเอ่ยอย่างเคร่งขรึมจนเจ้าน่องน้อยชะงักงัน จนเมื่อเขาเข้าใจความหมายในคำพูดนั้น จึงถามขึ้นมาว่า “ทำไมล่ะ”
เฉินเสียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลงว่า “องค์ชายและองค์หญิงทุกพระองค์ในราชสำนักเริ่มเข้าเรียนเมื่อพระชนม์ครบห้าพรรษา อย่างเร็วที่สุดก็หลังจากสามหรือสี่พรรษา เจ้าเพิ่งจะหนึ่งขวบเท่านั้น นั่นคือเหตุผล”
เจ้าน่องน้อยเอ่ยว่า “แต่ข้าไม่ใช่พวกเขา”
เฉินเสียนจ้องมองเขาอย่างเข้มงวดและบอกว่า “ถ้าเจ้าชอบเรียนจริงๆ แม่ก็พอจะสอนได้บ้างคำสองคำ กลับไปแม่จะค่อยๆ สอนให้ ก่อนจะอายุครบสามขวบ เจ้าจะปีนต้นไม้หรือลงทะเลสาบ แม่ก็จะไปกับเจ้า มีแค่ที่โรงเรียนไท่แห่งนี้ที่จะมาอีกไม่ได้ เจ้าเข้าใจไหม”
เจ้าน่องน้อยหันกลับไปมองซูเจ๋อซึมๆ
เฉินเสียนมองซูเจ๋อและเอ่ยอย่างพยายามระงับอารมณ์ว่า “ข้ากำลังสอนลูกของข้า หวังว่าใต้เท้าซูจะไม่เข้ามายุ่ง”
ซูเจ๋อเอ่ยราวกับกำลังครุ่นคิด “แม่ของเจ้าพูดถูกว่ายังเร็วไปหน่อยที่เจ้าจะเข้าเรียน ทำตามที่แม่ของเจ้าบอกเถิด ยิ่งไปกว่านั้นนางก็ไม่ได้รู้อักษรแค่ตัวสองตัวด้วย”
เฉินเสียน ”.....”
ตอนนี้เฉินเสียนเริ่มคุ้นเคยกับพระตำหนักไท่เหอแล้ว อวี้เยี่ยนและเสี่ยวเฮอจะคอยอยู่ใกล้ๆ เจ้าน่องน้อย เมื่อใดก็ตามที่มีอะไรสักอย่าง พวกนางจะช่วยพูดแทนเขาเสมอ เฉินเสียนจึงไม่คิดว่าซูเจ๋อจะเข้าข้างเธอ
ครั้นแล้วการตอบสนองของเธอก็กลับคืนมา ซูเจ๋อก็คือซูเจ๋อ ไม่ว่าเจ้าน่องน้อยจะทำตัวให้น่าสงสารอย่างไร แต่สำหรับเขา ถึงอย่างไรเหตุผลย่อมชนะความรู้สึก
ถ้าเจ้าน่องน้อยเป็นลูกของเขาจริงๆ... เขาควรจะเข้าใจ ว่าที่เฉินเสียนทำเช่นนี้ก็เพื่อประโยชน์ของเขากับเจ้าน่องน้อย
ต้องโทษที่ก่อนหน้านี้เฉินเสียนประมาท ถ้าเธอระแคะระคายตั้งแต่แรก เธอคงไม่เสียแรงพยายามอย่างหนักเพื่อส่งเจ้าน่องน้อยเข้าโรงเรียนไท่
เฉินเสียนผ่อนคลายลงและพูดกับเจ้าน่องน้อยว่า “เช่นนั้นก็บอกลาอาจารย์ซูของเจ้าเสียสิ”
เฉินเสียนเน้นหนักตรงคำว่า “อาจารย์ซู”
ซูเจ๋อยังคงนั่งอยู่ที่ใต้ชายคา หิมะเริ่มตกหนัก และมีหิมะบางส่วนตกลงมาบนชายเสื้อที่อ่อนนุ่มของเขา บ้างก็ลอยตกลงมาติดอยู่ที่หว่างคิ้ว บ้างก็ตกลงมาบนเส้นผมสีดำนั้น
เขาหรี่ตาลงครึ่งหนึ่งและยิ้มให้เฉินเสียน
จมูกของเฉินเสียนที่กลายเป็นสีแดงเพราะความหนาวอยู่ๆ ก็รู้สึกตื้อขึ้นมา เธอสูดลมหายใจเข้าก่อนจะเอ่ยเบาๆ ว่า “อากาศหนาว อย่าลืมใส่เสื้อผ้าหนาๆ ด้วย”
“อืม” ซูเจ๋อตอบเธอ
จากนั้นเธอจึงจูงเจ้าน่องน้อยออกไปจากโรงเรียนไท่ เมื่อกลับไปถึงพระตำหนักไท่เหอ ใบหน้ารูปไข่ของเจ้าน่องน้อยก็เย็นเยียบราวกับหยกขาวที่ทั้งขาวและเกลี้ยงเกลา
เฉินเสียนปลดเสื้อคลุมและสะบัดคราบหิมะออก จากนั้นจึงส่งให้แม่นมซุยไปแขวนไว้ที่ฉากกั้น เฉินเสียนพาเจ้าน่องน้อยไปนั่งที่ตั่งเพื่อผิงไฟให้ตัวอุ่น
เธอบอกกับแม่นมซุยว่า “เอ้อร์เหนียง ไปบอกอวี้เยี่ยนกับเสี่ยวเฮอที ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเจ้าน่องน้อยจะไปที่โรงเรียนไท่อีกไม่ได้อีกแล้ว พวกนางห้ามตามใจเขาอีก ต่อไปจะต้องออกไปนอกพระตำหนักไท่เหอให้น้อยลงด้วย”
แม่นมซุยรับรู้และกล่าวว่า “บ่าวจะบอกพวกนางเองเพคะ”
เจ้าน่องน้อยนิ่งเงียบอยู่นาน เฉินเสียนมองเขาและถามว่า “ทำไม ไม่พอใจการตัดสินของแม่หรือ”
เขาเหลือบมองเฉินเสียน ทันใดนั้นก็ร้องเรียกออกมาว่า “ท่านพ่อ”
ใบหน้าของเฉินเสียนแข็งทื่อ
เจ้าน่องน้อยก้มหน้าลงและยังคงเรียกขึ้นมาอีกว่า “ท่านพ่อ”
เฉินเสียนจับไหล่เล็กๆ ของเจ้าน่องน้อยไว้และถามเบาๆ ว่า “ใครสอนเจ้าให้เรียกมั่วๆ เช่นนี้ พ่อของเจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่ เจ้าห้ามเรียกมั่วๆ”
ก่อนหน้านี้ตอนที่สอนให้เจ้าน่องน้อยพูด เฉินเสียนมักจะสอนให้เขาเรียกแม่ แต่ไม่เคยมีสักครั้งที่เธอสอนให้เขาเรียกพ่อ
การที่เขาเรียกเช่นนี้ทำให้เฉินเสียนที่สงบสติอารมณ์ได้แล้วกลับมาคิดถึงซูเจ๋ออย่างควบคุมไม่ได้ เธอรู้สึกว้าวุ่นไปหมด
ทุกวันนี้เจ้าน่องน้อยอยู่กับซูเจ๋อทุกวัน นอกจากซูเจ๋อที่เป็นผู้ชายธรรมดา คนที่เหลือรอบๆ ตัวต่างก็เป็นขันทีหรือไม่ก็ราชครูชราๆ... เช่นนี้เขาจะเรียกใครได้อีก?
เจ้าน่องน้อยบอกว่า “ท่านแม่บอกเองว่า ในอนาคตจะจับเขามาเป็นท่านพ่อ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...