เฉินเสียนหันไปมองชายหนุ่มซึ่งอยู่ในชุดขุนนาง เธออยากจะยิ้ม แต่ยิ้มไม่ออก
เหมือนกันขนาดนี้ เขากำลังล้อเธอเล่นหรือเปล่า? มันไม่ตลกเลยจริงๆ นะ
เธอเคยคิดว่าพ่อของเจ้าน่องน้อยอาจจะเป็นใครก็ได้ แต่คนเดียวที่เธอไม่กล้าคิดเพ้อและคาดหวังก็คือซูเจ๋อ
ตอนที่เพิ่งมาถึงจิตใจของเฉินเสียนสงบมาก ทว่าในที่สุดมันก็กลับไปยุ่งเหยิงเช่นเดิม
เธอได้เห็นซูเจ๋อตามที่ต้องการ ความสับสนภายในใจซึ่งกองสุมจนกลายเป็นภูเขาสูงกำลังจะเอียงล้มลงมา เธอยืนอยู่บนยอดเขานั้น เห็นได้ชัดว่าแค่เอื้อมไปอีกนิดเดียว เธอก็จะขจัดเมฆหมอกนั่นได้แล้ว
แต่จนถึงตอนนี้เธอกลับรู้สึกสับสนว้าวุ่นไปหมด
ซูเจ๋อเงยหน้ามองมาทางประตูใหญ่หลังจากสอนจนจบบทความ ทันใดนั้นสายตาก็ประสานเข้ากับสายตาของเฉินเสียน มองตรงลึกเข้าไปในก้นบึ้งของหัวใจเธอ
เฉินเสียนได้สติกลับมาได้ทันที เธอหลบสายตาและรีบก้มหน้าลงเพื่อสงบสติอารมณ์
ปรากฏว่าเขารู้ตัวตั้งนานแล้วว่าเธอมาที่นี่
ซูเจ๋อปิดตำราและพูดกับเจ้าน่องน้อยว่า “วันนี้หยุดแค่ตรงนี้ก่อน ท่านแม่ของเจ้ามารับแล้ว เจ้ารีบกลับเถิด”
เจ้าน่องน้อยเงยหน้าขึ้น สอดส่องนัยน์ตาซึ่งแบ่งเป็นสีขาวและสีดำอย่างชัดเจนไปที่ประตู เมื่อมองเห็นเฉินเสียน ดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย
เฉินเสียนจำเป็นต้องผลักประตูเข้าไป เธอเดินไปจนถึงใต้ต้นหวู่ถงซึ่งอยู่ภายในลาน
ลมหนาวพัดมาปะทะชายเสื้อของซูเจ๋อ เขานั่งอยู่ตรงประตูด้วยท่าทีสบายๆ ราวกับว่าที่ตรงนั้นขาวสะอาดยิ่งกว่าหิมะที่อยู่รอบๆ ลาน
เห็นได้ชัดว่าดวงตาที่ลุ่มลึกคู่นั้นไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา แต่เธอกลับรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดเข้าไปเมื่อถูกสายตาคู่นั้นจ้องมอง
เมื่อคำพูดขึ้นมาอยู่ที่ริมฝีปาก เฉินเสียนกลับรู้สึกเหมือนมีก้อนจุกอยู่ที่ลำคอ ในที่สุดเธอก็กล้ำกลืนมันลงไปและกล่าวเพียงว่า “วันนี้มาสายไปหน่อย เลยทำให้ใต้เท้าซูต้องลำบาก”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “ไม่เป็นไร” เขาลูบเจ้าน่องน้อยและเอ่ยด้วยรอยยิ้มจางๆ ว่า “เจ้าน่องน้อยฉลาดมาก”
เฉินเสียนใจเต้นแรง กวักมือเรียกเจ้าน่องน้อยว่า “เจ้าน่องน้อย มานี่มา”
ซูเจ๋อดึงมือกลับเป็นสัญญาณให้เจ้าน่องน้อยไปหาเฉินเสียน เขาเดินเตาะแตะลงมาจากบันไดและไปยืนอยู่ตรงหน้าเฉินเสียน เงยศีรษะเล็กๆ ของตนมองเฉินเสียนเล็กน้อยอย่างเอาใจ
วันนี้เป็นเขาที่แอบหนีออกมา และเขาก็กลัวว่าเฉินเสียนจะยังโกรธเขาอยู่
เฉินเสียนบอกว่า “วันนี้บอกไม่ให้มาเจ้าก็ยังแอบมา แต่ตอนนี้แม่ต้องบอกให้เจ้าเข้าใจชัดๆ ว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่เจ้าจะได้มาโรงเรียนไท่ ถ้าพรุ่งนี้เจ้ามาอีก แม่จะมัดมือมัดเท้าของเจ้าไว้”
เฉินเสียนเอ่ยอย่างเคร่งขรึมจนเจ้าน่องน้อยชะงักงัน จนเมื่อเขาเข้าใจความหมายในคำพูดนั้น จึงถามขึ้นมาว่า “ทำไมล่ะ”
เฉินเสียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลงว่า “องค์ชายและองค์หญิงทุกพระองค์ในราชสำนักเริ่มเข้าเรียนเมื่อพระชนม์ครบห้าพรรษา อย่างเร็วที่สุดก็หลังจากสามหรือสี่พรรษา เจ้าเพิ่งจะหนึ่งขวบเท่านั้น นั่นคือเหตุผล”
เจ้าน่องน้อยเอ่ยว่า “แต่ข้าไม่ใช่พวกเขา”
เฉินเสียนจ้องมองเขาอย่างเข้มงวดและบอกว่า “ถ้าเจ้าชอบเรียนจริงๆ แม่ก็พอจะสอนได้บ้างคำสองคำ กลับไปแม่จะค่อยๆ สอนให้ ก่อนจะอายุครบสามขวบ เจ้าจะปีนต้นไม้หรือลงทะเลสาบ แม่ก็จะไปกับเจ้า มีแค่ที่โรงเรียนไท่แห่งนี้ที่จะมาอีกไม่ได้ เจ้าเข้าใจไหม”
เจ้าน่องน้อยหันกลับไปมองซูเจ๋อซึมๆ
เฉินเสียนมองซูเจ๋อและเอ่ยอย่างพยายามระงับอารมณ์ว่า “ข้ากำลังสอนลูกของข้า หวังว่าใต้เท้าซูจะไม่เข้ามายุ่ง”
ซูเจ๋อเอ่ยราวกับกำลังครุ่นคิด “แม่ของเจ้าพูดถูกว่ายังเร็วไปหน่อยที่เจ้าจะเข้าเรียน ทำตามที่แม่ของเจ้าบอกเถิด ยิ่งไปกว่านั้นนางก็ไม่ได้รู้อักษรแค่ตัวสองตัวด้วย”
เฉินเสียน ”.....”
ตอนนี้เฉินเสียนเริ่มคุ้นเคยกับพระตำหนักไท่เหอแล้ว อวี้เยี่ยนและเสี่ยวเฮอจะคอยอยู่ใกล้ๆ เจ้าน่องน้อย เมื่อใดก็ตามที่มีอะไรสักอย่าง พวกนางจะช่วยพูดแทนเขาเสมอ เฉินเสียนจึงไม่คิดว่าซูเจ๋อจะเข้าข้างเธอ
ครั้นแล้วการตอบสนองของเธอก็กลับคืนมา ซูเจ๋อก็คือซูเจ๋อ ไม่ว่าเจ้าน่องน้อยจะทำตัวให้น่าสงสารอย่างไร แต่สำหรับเขา ถึงอย่างไรเหตุผลย่อมชนะความรู้สึก
ถ้าเจ้าน่องน้อยเป็นลูกของเขาจริงๆ... เขาควรจะเข้าใจ ว่าที่เฉินเสียนทำเช่นนี้ก็เพื่อประโยชน์ของเขากับเจ้าน่องน้อย
ต้องโทษที่ก่อนหน้านี้เฉินเสียนประมาท ถ้าเธอระแคะระคายตั้งแต่แรก เธอคงไม่เสียแรงพยายามอย่างหนักเพื่อส่งเจ้าน่องน้อยเข้าโรงเรียนไท่
เฉินเสียนผ่อนคลายลงและพูดกับเจ้าน่องน้อยว่า “เช่นนั้นก็บอกลาอาจารย์ซูของเจ้าเสียสิ”
เฉินเสียนเน้นหนักตรงคำว่า “อาจารย์ซู”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...