ค่ำคืนนี้อาลักษณ์ทางกรมอาญาและเหล่าขุนนางก็ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองด้วย เมื่อขันทีไปถึงเรือนจำที่กรมอาญา ก็มีหัวหน้ากรมอาญาที่มีหน้าที่เป็นผู้คุมเรือนจำออกมาให้การต้อนรับเขา หัวหน้ากรมอาญาสั่งให้ผู้ดูแลนำบัวลอยเข้าไปให้เฮ่อฟั่ง พลางยื่นน้ำชาอุ่นๆ ให้กับขันที พูดคุยกับเขาอยู่ครู่หนึ่ง
หัวหน้ากรมอาญาเป็นข้าราชการระดับห้า แน่นอนว่าไม่มีสิทธิ์จะเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองในค่ำคืนนี้อยู่แล้ว จึงสอบถามกับขันทีผู้นี้เสียหน่อย
ขันทีผู้นี้ปกติแล้วไม่ค่อยออกหน้าออกตา เวลาเจอเจ้าหน้าที่จึงค่อนข้างพูดเยอะ และยินดีที่จะพูดกับเขาแน่นอน
รออยู่ที่คุกครู่ใหญ่ เฮ่อฟั่งที่ร่างกายสกปรกมอมแมม แน่นอนว่าเขาไม่สามารถไปที่ห้องตำราหลวงในสภาพนี้ได้ จึงจัดระเบียบผมเผ้านิดหน่อย จากนั้นก็รอขันทีนำพระบัญชามาเพื่อช่วยชุบชีวิตเขาใหม่อีกครั้ง
หัวหน้ากรมอาญาเป็นคนส่งพวกเขาออกไปด้วยตัวเอง เมื่อพวกเขาเดินออกจากคุกไปไกลแล้ว หัวหน้าจึงค่อยหันกลับมา มองไปยังถ้วยบัวลอยในห้องขัง ที่ขันทีนั้นเป็นคนนำมา ภายใต้แสงจากเปลวไฟที่สลัว บัวลอยถูกเฮ่อฟั่งกินจนหมดเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว
หัวหน้าหันไปสบตากับผู้ดูแลอยู่ครู่หนึ่ง ผู้ดูแลจึงพยักหน้าเบาๆ
หัวหน้าล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อ ถอดถอนหายใจพร้อมกับพูดขึ้นว่า : "บัวลอยถ้วยนี้ส่งมาได้เหมาะเจาะพอดี เป็นองค์จักรพรรดิที่ทรงรับสั่งให้นำบัวลอยถ้วยนี้มา ตั้งใจจะนำมาให้เฮ่อฟั่งได้อุ่นร่างกาย ถึงเวลานั้นหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา จะได้มีโล่กำบัง"
ผู้ดูแลจึงพูดขึ้นว่า : "ใต้เท้าพูดถูก"
"วันนี้ที่วังหลวงค่อนข้างคึกคัก อากาศที่หนาวเหน็บนี้ อย่าอยู่ที่นี่ต่ออีกเลย เรากลับกันเถอะ"
เสื้อผ้าอาภรณ์ของเฮ่อฟั่งนั้นบางมาก เมื่อเขาเดินออกจากกรมอาญาไป ข้างนอกก็เป็นอากาศที่หนาวเหน็บของเหมันตฤดู จึงทำให้เขาหนาวสะท้านและสั่นไปทั้งตัว แต่ไม่ว่าจะหนาวเหน็บเพียงใด ก็ไม่อาจเทียบความหนาวเหน็บในห้องขังที่เนิ่นนานไร้ที่สิ้นสุดนั้นได้
เฮ่อฟั่งสูดลมหายใจเข้าลึก มันคืออากาศของความอิสระ ที่ทั้งบริสุทธิ์และสดชื่น ออกมาครั้งนี้ เขาได้ตระหนักถึงความทุกข์ยากลำบากที่กำลังจะสิ้นสุดลงไป และเขาเองควรจะหวนกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
สุดท้ายแล้วองค์จักรพรรดิก็ไม่อาจทิ้งเขาได้ เขาเองรู้อยู่แก่ใจอย่างที่สุด เป็นเพราะว่าสมองของเขานั้นยังมีประโยชน์ต่อองค์จักรพรรดิ
เมื่อออกมาแล้ว เขาให้สัญญากับตัวเองว่าชีวิตที่เหลืออยู่ของเขา จะไม่ย่างกรายเข้าไปในคุกของกรมอาญาที่หนาวเหน็บนั่นอีก! เขาจะให้ผู้ที่ตั้งใจให้ร้ายเขาเสียใจอย่างสุดซึ้ง!
หลังจากที่สั่นเทา เฮ่อฟั่งก็ยืดตัวตรง สาวเท้าก้าวเดินไปข้างหน้า
ตั้งแต่กรมอาญาจนถึงพระราชวัง ใช้เวลาเดินพอสมควร เมื่อเข้าไปยังพระราชวังแล้ว เฮ่อฟั่งอยู่ในสภาพที่ไม่ควรที่จะให้ผู้คนในงานพบเห็น เพราะฉะนั้นขันทีจึงตั้งใจพาเดินอ้อมอุทยานอวี้ฮัว แล้วจึงตรงไปยังห้องตำราหลวง
ในขณะที่พึ่งออกมาจากคุกของกรมอาญา เฮ่อฟั่งก็รู้สึกหนาวขึ้นมา เมื่อเดินมาได้ครึ่งทางก็รู้สึกเริ่มอุ่น เขาเองคิดว่าเป็นเพราะตัวเองเดินเคลื่อนไหว และเป็นเพราะหัวใจที่เต้นแรง
จนมาถึงห้องตำราหลวง เฮ่อฟั่งก็เริ่มหอบขึ้น บนร่างกายของเขาเริ่มมีเหงื่อซึม เขายกมือขึ้นปลดคอเสื้อเล็กน้อย
ขันทีที่นำทางได้รับคำสั่งจากองค์จักรพรรดิโดยตรง ทหารเวรยามนอกลานจึงไม่สามารถขัดขวางได้ เขาพาเฮ่อฟั่งมาจนถึงหน้าประตูห้องตำราหลวง แล้วจึงถอยกลับไป
เฮ่อฟั่งยืนอยู่หน้าประตูห้องตำราหลวง ด้านในมีไฟส่องสว่าง ที่สะท้อนออกมาจนทำเขารู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย
เขารู้สึกปากคอแห้งผาก หัวใจเต้นแรงดุจรัวกลอง ราวกับว่ามีเพลิงไฟที่กำลังแผดเผาทรวงอกของเขาก็ไม่ปาน
เฮ่อฟั่งเปิดประตูเข้าไป
ทันใดนั้นเอง ก็มีกลิ่นลมหอมกรุ่นพัดโชยเข้ามา ทำให้เขารู้สึกใจสั่นหวั่นไหวขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว
จู่ๆ เปลวไฟที่ร้อนระอุก็รวมตัวปะทุอยู่กลางแผ่นอกของเขาค่อยๆ เคลื่อนตัวไปยังจุดใต้ท้องของเขา เขามีปฏิกิริยาขึ้นมาในทันใด
เฮ่อฟั่งเงยหน้าขึ้นมาช้าๆ จึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าในห้องตำรายังมีผู้อื่นอีก แถมยังเป็นหญิงงามรูปร่างอรชรเสียด้วย
หญิงงามผู้นั้นกำลังนอนอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้าแดงก่ำ เสื้อผ้าหลุดลุ่ยไม่เป็นระเบียบ นางได้ปลดชุดคุมและเสื้อชั้นนอกออก วางกองลงบนพื้น นางที่กำลังไม่รู้ตัว เหงื่อหอมเปียกชุ่มท่วมเรือนร่าง รุ่มร้อนจนไม่อาจต้านทาน
ใบหน้าอันบอบบางนั้นเต็มไปด้วยแรงปรารถนา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...