“องค์จักรพรรดิคิดที่จะเสด็จมาในสองวันมานี้ เพียงแต่มีกิจราชการก่อกวนใจ เลยไม่ได้มีเวลาพักผ่อน เห็นว่าหลังจากงานเลี้ยงฉลองในพระราชวังเสร็จสิ้นแล้ว พระองค์ยังต้องไปที่ห้องตำราหลวงเพื่อจัดการกิจราชการอีกด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”
พระสนมฉีรู้สึกสงสาร
ขันทีเงียบไปแล้วพูดขึ้นอีกว่า “พระนางให้อภัยในความปากมากของกระหม่อม งานเลี้ยงพระราชวังค่ำคืนนี้ ถนนเส้นทางเดินก็มืดจะมีใครรู้ว่าพระนางออกจากพระตำหนักได้ ถ้าเกิดพระนางได้คอยไปอยู่เป็นเพื่อนองค์จักรพรรดิที่ห้องตำราหลวง บางทีอาจจะสามารถทำลายความห่างเหินระหว่างพระนางกับองค์จักรพรรดิก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีผู้นี้เป็นคนที่ทำให้นางได้มีความตระหนักนึกคิดขึ้นมา
พระสนมฉีนั้นเป็นกังวลเกี่ยวการห้ามออกไปด้านนอกเวลากลางคืนมาโดยตลอด อีกทั้งองค์ชายห้าก็ยังมาพัวพันไม่ห่างกายไปไหน เลยไม่ได้มีโอกาสที่จะไปคอยปรนนิบัติรับใช้ที่ห้องบรรทม ถ้าเกิดนางได้มีโอกาสไปเป่าลมข้างๆหูให้องค์จักรพรรดิทุกอย่างก็คงไม่เป็นเหมือนกับที่เป็นอยู่ในตอนนี้
คืนนี้กลับเป็นโอกาสที่ดี องค์จักรพรรดิไม่มาหานาง นางก็ต้องไปหาองค์จักรพรรดิเอง
ถ้าเกิดสามารถหยอกล้อให้องค์จักรพรรดิดีใจได้ ไม่แน่ว่าคืนนี้ก็อาจจะมีโอกาสได้ไปปรนนิบัติรับใช้ในห้องบรรทมต่อก็ได้
เมื่อคิดได้เช่นนี้ พระสนมฉีจึงรีบวางตะเกียบในมือลง เรียกให้นางกำนัลเข้ามาแต่งตัวและเปลี่ยนเสื้อให้นาง
ขันทีชำเลืองมองอาหารที่อยู่บนโต๊ะ แล้วพูดว่า“ ซุปไข่มุกหยกถ้วยนี้พระนางไม่ดื่มแล้วหรือ องค์จักรพรรดิมีรับสั่งกำชับเตรียมให้กับพระนางโดยเฉพาะ ถ้าเกิดพระนางเสวยเสร็จ กระหม่อมก็จะขอเก็บไปแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อพระสนมฉีได้ยินว่าเป็นการเตรียมให้อย่างโดยเฉพาะเจาะจง จึงรับสั่งให้เขานำขึ้นมาถวาย แล้วเสวยไปไม่กี่คำ
เมื่อพระสนมฉีเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ขันทีก็เอาอาหารที่นำมาใส่กลับเข้าไปในกล่องอาหารอย่างพิถีพิถัน พระสนมฉีและขันทีเดินออกจากพระราชวังชั้นกลาง แล้วเดินตรงไปที่ห้องตำราหลวง
เพื่อหลีกเลี่ยงสายตาของผู้คน พระสนมฉีอยู่ในช่วงถูกกักขัง อีกทั้งครั้งนี้เธอยังมีจุดประสงค์ในการไปที่พิเศษ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้พานางกำนัลตามมาด้วย
เมื่อถึงด้านนอกลานห้องตำราหลวง ขันทีจึงหยุดเดิน แล้วกล่าวว่า“ด้านหน้าคือห้องตำราหลวงต้องห้าม กระหม่อมส่งพระนางได้เพียงตรงนี้”
ห้องตำราหลวงสำหรับพระสนมฉีนั้นไม่ใช่ที่แปลก เมื่อก่อนตอนที่องค์ชายห้าทรงได้รับความโปรดปรานจากองค์จักรพรรดิ นางได้พาองค์ชายห้ามาเที่ยวเล่นที่ห้องตำราอยู่บ่อยครั้ง
ณ เวลานั้นองค์จักรพรรดิยังคงอยู่ในงานเลี้ยงพระราชวังอยู่ ไม่ได้อยู่ที่ห้องตำราหลวง ดังนั้นห้องตำราหลวงจึงสงบเงียบเป็นพิเศษ นอกจากองครักษ์ที่ยืนเฝ้าระวังอยู่ด้านนอก ภายในก็ไม่มีแม้แต่นางกำนัลสักคน
นางกำนัลขององค์จักรพรรดิคงจะตามไปที่งานเลี้ยงพระราชวังทางนั้นกันหมด
พระสนมฉีเข้ามาในห้องตำราหลวงได้อย่างไม่ยาก เพราะว่าองครักษ์ทั้งหมดต่างก็คุ้นหน้า จึงไม่เคร่งครัดกับกฎระเบียบ
อีกอย่างเพียงแค่นางบอกว่าองค์จักรพรรดิมีรับสั่งให้นางมารอที่ห้องตำราหลวง เหล่าองครักษ์ก็ไม่กล้าที่จะห้ามนางไว้ได้
ภายในห้องตำราหลวงไม่มีใคร แต่ไฟนั้นกลับยังส่องแสงสว่างอยู่
ไม่รู้ว่านี่เป็นการทำให้เข้ากับงานเลี้ยงพระราชวังหรือไม่ หลังจากที่พระสนมฉีเข้าไปนั่งข้างในได้สักครู่หนึ่ง ก็รู้สึกร้อนอบอ้าวอย่างมาก
ภายในนี้มีเธอเพียงคนเดียว ดังนั้นนางจึงไม่ได้มีความกังวลอันใด นางจึงเริ่มถอดเสื้อคลุมออก จากนั้นก็ค่อยๆถอดเสื้อด้านนอกออก แต่นางยังกลับรู้สึกร้อนเหมือนเดิม
หลังจากนั้นมึนงงและสับสน เมื่อเธอรู้สึกตัวว่ามีคนเข้ามาในห้องตำราหลวง แต่สถานการณ์กลับเป็นเช่นนี้
คนที่เข้ามานั้นไม่ใช่องค์จักรพรรดิ แต่เป็นเพียงคนที่มีกลิ่นตัวเหม็นเน่า
ภายในห้องตำราหลวงนั้นเงียบสงบไปชั่วขณะหนึ่ง มีเหลือเพียงเสียงหายใจหอบของพระสนมฉี
เฮ่อฟั่งนั้นควรจะรีบออกไปจากห้องตำราหลวงโดนทันที แต่กลับถูกตัณหาเข้าควบคุมร่างกายเขากะทันหัน สายตาจ้องไปที่พระสนมฉีอย่างเร้าร้อน ดังนั้นเขาจึงไม่ก้าวเท้าเคลื่อนย้ายไปไหน
ในใจเขานั้นมีความคิดที่บ้าคลั่ง พระสนมฉี นางคือผู้หญิงขององค์จักรพรรดิ เมื่อก่อนเขาไม่กล้าที่จะเงยหน้ามองนางตรงๆ แต่มาในตอนนี้เมื่อได้มองอย่างละเอียด นางนั้นช่างงดงามมากเสียจริง!
เขาคิดว่า องค์จักรพรรดิอาจจะให้เขาได้ลิ้มลองรสชาติที่หอมหวาน เมื่อก่อนนางเป็นนางรำ ตอนนี้กลับเป็นพระสนมวังหลังไปแล้ว!ถ้าไม่เช่นนั้นหญิงสาวสวยจะมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้ได้อย่างไร?
เขาได้ยินว่า หลังจากงานเลี้ยงพระราชวังเสร็จ องค์จักรพรรดิยังต้องพาท่านทูตไปเดิมชมทัศนียภาพของสวนดอกไม้อีก ช่วงเวลานี้ก็คงยังไม่กลับมา……
ด้านทางท้องพระโรง เมื่องานเลี้ยงสิ้นสุดลง เมื่อทำตามขั้นตอนองค์จักรพรรดิได้ลุกขึ้นนำพาเหล่าคณะทูตและเหล่าขุนนางทั้งสองอาณาจักรเดินเล่นชมรอบๆอุทยานอวี้ฮัวเพื่อทำให้สร่างเมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...