เมื่อก่อนที่ซูเจ๋อจงใจปิดบังความจริงไม่ให้เธอกลับเมืองหลวง ให้เธอนึกถึงสถานการณ์โดยรวม ณ ตอนนั้นก่อน เฉินเสียนก็สามารถจะเข้าใจได้
เพราะว่าเวลานั้นเธอไม่รู้ว่าเจ้าน่องน้อยเป็นลูกของซูเจ๋อ ก็คิดว่าเขาคงไม่มีทางที่จะเข้าใจความรู้สึกในการสูญเสียลูกอย่างแน่นอน
และเธอก็ยิ่งไม่รู้ว่าเจ้าน่องน้อยถูกพาเข้าไปในพระราชวังนั้นก็เพราะว่าเขาจงใจวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว เธอคิดว่าทุกอย่างมันเป็นเรื่องที่ถูกบีบบังคับอย่างช่วยไม่ได้มาตลอด ดังนั้นเธอจึงมีสติและสามารถพอที่จะเข้าใจในเหตุผลของซูเจ๋อได้
แต่มาวันนี้ ความจริงมาปรากฏต่อหน้าเธออีกครั้ง เธอกลับรู้สึกไม่สามารถจะเข้าใจได้ ซูเจ๋อจะตัดขาดเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองได้อย่างไร
เฉินเสียนคิดไม่ถึงว่าในค่ำคืนที่ยาวไกล สุดท้ายคนที่ไม่มีจิตใจนอนหลับให้สงบลงได้นั้นก็คือตัวเธอเอง
เธอคิดว่าขอเพียงแค่ซูเจ๋อพูดชี้แจงออกมาให้ชัดเจน เธอก็จะสามารถไม่คิดเล็กคิดน้อยเกี่ยวกับเรื่องที่เขาปิดบังเธอมาตลอดสองปี แล้วเธอก็จะไม่คิดเล็กคิดน้อยที่เขาปฏิเสธเรื่องเจ้าน่องน้อย
แต่ในเมื่อหัวใจของเขา ไม่เคยถือว่าเจ้าน่องน้อยนั้นเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาเลย สำหรับเขาแล้ว เจ้าน่องน้อยอาจเป็นเพียงแค่กลอุบายอย่างหนึ่ง เป็นแค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้นเอง
เฉินเสียนหันกลับไปมองใบหน้าเล็กของเจ้าน่องน้อยที่กำลังนอนหลับสบายอยู่ ทันใดนั้นก็คิดขึ้นมาได้ว่า ถ้าเกิดซูเจ๋อไม่ใช่พ่อของเขาจริงๆ ก็บอกไม่ได้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ดี
ความจริงที่ซูเจ๋อเป็นพ่อผู้ให้กำเนิดเจ้าน่องน้อย มันทำให้จิตใจของเฉินเสียนนั้นสับสนวุ่นวาย เมื่อรู้ถึงรายละเอียดของเรื่องนี้ ตอนที่เธอดึงสติกลับมาได้แล้วนั้นก็ไม่รู้ว่าตัวเองนั่งมาจนถึงฟ้าสว่างได้อย่างไร
วันที่สอง แม่นมซุยเข้ามาภายในห้อง เมื่อเห็นเฉินเสียนนั่งอยู่ด้านนนอก จึงพูดด้วยความตกใจว่า “ทำไมองค์หญิงถึงเอาเสื้อพาดไว้ที่บ่าแล้วไปนั่งอยู่ตรงนั้น ทำไมไม่เรียกบ่าวหล่ะเพคะ?”
เฉินเสียนมองที่แม่นมซุยเป็นเวลานาน ดวงตาก็เริ่มแดง จึงถามขึ้นว่า “เอ้อร์เหนียง สิ่งที่อวี้เยี่ยนพูดมานั้นมันเป็นความจริงหรือไม่?”
แม่นมซุยเงียบไป แล้วถามว่า“อวี้เยี่ยนพูดอะไรกับองค์หญิงหรือเพคะ?”
อวี้เยี่ยนที่ไม่ได้นอนทั้งคืน พูดขึ้นว่า“เรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อก่อน ข้าพูดกับองค์หญิงไปหมดแล้ว องค์หญิงไม่สามารถเลอะเลือนในการเลือกใช้ชีวิตกับคนคนหนึ่งได้”
แม่นมซุยถอนหายใจแล้วพูดว่า“อวี้เยี่ยน เรื่องของใต้เท้าเป็นเรื่องที่เขาจะมาจัดการด้วยตัวเอง เจ้าปากมากไปแล้วนะ!”
อวี้เยี่ยนพูด “มันก็ผ่านไปตั้งนานแล้ว ไม่เห็นเขาจะเข้ามาพูดกับองค์หญิงตรงๆเลย ถ้าข้าไม่พูดข้าเกรงก็ว่าเขาคงจะปิดบังไปตลอดชีวิตเลยสินะ”
เฉินเสียนถามอีกครั้งว่า“เอ้อร์เหนียง ทั้งหมดมันเป็นความจริงหรือไม่?”
แม่นมซุยนั่งคุกเข่าลงตรงหน้าของเฉินเสียน
เฉินเสียนพูดอย่างเฉยชาว่า “อีกประเดี๋ยวเจ้าน่องน้อยก็จะตื่นแล้ว อวี้เยี่ยน ไปตามเสี่ยวเฮอมาเปลี่ยนชุดให้เจ้าน่องน้อย พาไปกินข้าวเช้า แล้วพาเขาออกไปเล่นที่ห้องตำราก่อนไป”
“เพคะ”
เจ้าน่องน้อยตื่นขึ้นมานั่งอยู่บนเตียง แล้วนำมือขึ้นมาขยี้ดวงตา เฉินเสียนนั่งอยู่อีกที่หนึ่ง ร่างกายของเธอเย็นยะเยือก จึงไม่อยากจะไปทำให้เขารู้สึกอึดอัด เสี่ยวเฮอเปลี่ยนชุดให้เขาเสร็จ เฉินเสียนก็ยังไม่เข้าไปในห้อง
ตอนที่เสี่ยวเฮอจูงมือเจ้าน่องน้อยเดินออกไป เฉินเสียนจึงพูดว่า “เจ้าน่องน้อยเป็นเด็กนะ ไปกินข้าวเช้ากับเสี่ยวเฮอก่อน แม่มีเรื่องที่จะคุยกับพวกเธอก่อน”
เจ้าน่องน้อยเดินออกไปกับเสี่ยวเฮออย่างว่าง่าย
เมื่อครู่เฉินเสียนมองไปยังแม่นมซุย แม่นมซุยจึงพูดว่า “แม้ว่าบ่าวจะไม่รู้ว่าจริงๆแล้วอวี้เยี่ยนนั้นพูดอะไรกับพระองค์ไปบ้าง แต่บ่าวเรื่องทุกอย่างเป็นไปตามความคิดโดยพลการของบ่าวเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับใต้เท้าเลยนะเพคะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...