หลังจากที่เฉินเสียนถูกจับออกไปแล้ว ที่หน้าลานสวนยังคงจัดงานเลี้ยงต่อ ราวกับว่าไม่เคยมีเรื่องโกลาหลวุ่นวายเกิดขึ้นยังไงอย่างนั้น
เฮ่อโยวยังคงออกไปรับหน้าด้วยตัวเอง ดื่มเหล้าแสดงความเคารพไปทั่วทุกโต๊ะ และกล่าวคำขอบคุณกับแขกที่มาร่วมงานพิธีมงคลสมรสของเขา
หลายต่อหลายคนพากันดูถูกเขาในใจ ว่าเขานั้นทำได้ทุกอย่างเพื่อจะไต่เต้าปีนป่ายขึ้นมา
แม้ว่าในเรือนหอจะถูกตกแต่งเรียบเฉยไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่ห้องหอนั้นดูมีอะไรขึ้นมาหน่อย
เทียนแดงจุดรอบเตียง ดูแล้ววิจิตรสวยงามมากทีเดียว
เมื่อประตูห้องหอถูกปิดลง แม่นมหลายคนก็ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก อวี้เยี่ยนเองถูกขังอยู่ข้างในกับเฉินเสียนด้วย
อวี้เยี่ยนวิตกกังวลเป็นอย่างมาก นางเดินวนไปมาในห้องหอไม่หยุดด้วยความกระวนกระวายใจ
นางกัดกรามแน่น เอื้อมมือไปดึงปิ่นปักผมอันแหลมคมบนศีรษะที่เตรียมเอาไว้ตั้งแต่แรก พูดขึ้นกับเฉินเสียนด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า : “องค์หญิง หม่อมฉันจะไม่ยอมให้จิ้งจอกตาขาวเข้าใกล้องค์หญิงได้อย่างเป็นอันขาด! หากเขากล้าจะเข้ามา หม่อมฉันจะใช้ปิ่นนี้แทงเขาอย่างเหี้ยมโหดเพคะ!”
เฉินเสียนเงียบอยู่เนิ่นนาน จู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า : “เอ้อเหนียงล่ะ?”
อวี้เยี่ยนอึ้งไปชั่วขณะ รู้ว่าเวลานี้เฉินเสียนได้สติขึ้นมาแล้ว นางมองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงรีบพูดขึ้นว่า : “เอ้อเหนียง……หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ จำได้แค่ว่านางออกจากพระราชวังพร้อมเรา หลังจากที่กำชับให้หม่อมฉันดูแลองค์หญิงให้ดีแล้ว หม่อมฉันก็ไม่เห็นนางอีกเลยเพคะ……”
ตอนนี้เอง ที่อวี้เยี่ยนพึ่งจะคิดอะไรขึ้นมาได้ : “จริงสิ เอ้อเหนียงล่ะ? ตั้งแต่เข้าเรือนหอมาจนถึงตอนนี้ หม่อมฉันก็ยังไม่ได้เห็นหน้าเลยเพคะ!”
“ช่างเถอะ”
เวลานี้เอง เมื่อเข้าสู่พลบค่ำ ตรอกที่ซ่อนอยู่ค่อนข้างลึก ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
หญิงเจ้าของบ้านคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องครัว นางเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อน แล้วจึงค่อยเปิดประตูลานสวน
ในตอนแรกนางคิดว่าเป็นสามีของนางที่กลับมา แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะเห็นหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งยืนอยู่ประตูแทน ในอ้อมแขนของหญิงวัยกลางคนนั้นได้อุ้มเด็กคนหนึ่งอยู่ด้วย
เมื่อแม่นมซุยเห็นมีคนออกมาแล้ว นางก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ท่านก็คือคนใจดีที่เจ้านายของข้าเอ่ยถึงใช่หรือเปล่า? ได้ยินมาว่านายหญิงเคยรับดูแลเจ้านายของข้ามาก่อน เจ้านายของข้าและลูกเขยที่หนีมาด้วยกัน มาขอพักอาศัยกับท่านอยู่ครึ่งค่อนวัน ไม่ทราบว่านายหญิงยังจะพอจำได้อยู่บ้างหรือเปล่า?”
หญิงเจ้าของบ้านจึงตอบกลับไปว่า : “ข้าจำได้ จำได้ดีเชียวล่ะ แล้วท่านคือ……”
“ขอข้าเข้าไปก่อนแล้วค่อยคุยได้หรือไม่?”
“เจ้าเข้ามาก่อนเถิด” หญิงเจ้าของบ้านสังเกตเห็นเด็กที่แม่นมซุยอุ้มอยู่ : “เด็กคนนี้คือลูกของพวกเขาทั้งคู่หรอกหรือ น่ารักน่าชังเสียไม่มี”
แม่นมซุยจึงพูดขึ้นว่า : “ที่ข้ามานี้ มีเรื่องอยากจะขอร้องนายหญิง เด็กคนนี้ป่วยหนัก ที่นอกเมืองมีหมอผู้หนึ่งที่สามารถรักษาเขาได้ แต่เวลานี้ประตูเมืองหลวงได้ปิดลงแล้ว เพราะฉะนั้นข้าจึงตั้งใจขอความช่วยเหลือจากนายหญิง ช่วยชีวิตเด็กคนนี้สักครั้ง……”
หญิงเจ้าของบ้านเองก็เป็นแม่คนหนึ่ง จึงเข้าใจความทุกข์นี้เป็นอย่างดี เพราะก่อนหน้านี้นางก็เคยผ่านมันมา และก็ถือว่าไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงเท่าไหร่นัก
หญิงเจ้าของบ้านจึงถามขึ้นว่า : “ต้องการจะส่งเขาออกนอกเมืองหลวงหรือ?”
“ใช่”
“งั้นท่านรอก่อน อีกสักประเดี๋ยวสามีของข้ากลับมา ข้าจะลองพูดกับเขาดู”
“ขอบคุณนายหญิงมาก” แม่นมซุยนำถุงๆ หนึ่งวางลงบนมือของหญิงเจ้าของบ้าน
หญิงเจ้าของบ้านเปิดออกมาดู ก็พบว่าข้างในนั้นเป็นทองก้อน แม่นมซุยจึงพูดขึ้นว่า : “นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากเจ้านายของข้า นายหญิงโปรดรับไว้ด้วย”
คราวที่แล้วที่สองคนนั้นมาหลบในบ้านของนางเป็นการชั่วคราว นางเองก็รับเงินไปหนึ่งถุงแล้ว สำหรับชาวบ้านธรรมดาแล้วถือว่าไม่น้อยเลย และครั้งนี้ก็ยังให้ทองก้อนอีกหนึ่งถุงด้วย
หญิงเจ้าของบ้านรับมันมาแล้ว ก็จะต้องช่วยเหลือให้เต็มที่ที่สุด
ฟ้าเริ่มมืดเข้าไปเรื่อยๆ แขกที่ครึกครื้นเต็มหน้าห้องโถงก็เริ่มซาลงเรื่อยๆ ตอนกราบไหว้ที่โถงสักการะในวันนี้ องค์หญิงจิ้งเสียนได้อาละวาดอย่างรุนแรงไปชุดใหญ่ ใครจะไปกล้ายุ่งวุ่นวายที่ห้องหออีกกัน ฉะนั้นหลังจากที่แขกได้ร่วมดื่มฉลองเสร็จแล้ว ต่างก็พากันบอกอำลาและแยกย้ายกันกลับไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...