ข้าคือหงส์พันปี นิยาย บท 53

เฉินเสียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย : "ยังไม่ถึงขั้นที่ข้าต้องมารับผิดชอบหรอก คนคนหนึ่งมีมีดอยู่ในมือ จะใช้หั่นผักทำกับข้าวหรือใช้เพื่อเข่นฆ่าคน ก็ขึ้นอยู่กับตัวนางเองทั้งนั้น เซียงซั่นกับอวิ๋นเอ๋อร์มีความแค้นต่อกัน และไม่มีใครยอมใคร ถึงแม้ว่าจะไม่มีโอกาสนี้ และหากมีโอกาสอื่นแทน เซียงซั่นก็จะหาวิธีจัดการอวิ๋นเอ๋อร์เหมือนเดิม"

อวี้เยี่ยนกำลังช่วยเธอเปลี่ยนเสื้อผ้า เฉินเสียนหันหน้ามามองอวี้เยี่ยน พร้อมกับพูดขึ้นว่า : "มีแต่หลิ่วเหมยอู่ที่ชอบไปแบกรับความดีและความชั่วของคนอื่นแล้วมานั่งทรมานตัวเอง การกระทำเซียงซั่นไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับข้าเสียหน่อย"

เฉินเสียนพูดขึ้นอย่างใจกว้างแฝงความสง่างาม อวี้เยี่ยนจึงหัวเราะขึ้นด้วยความโล่งใจ : "หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ"

เฉินเสียนมองอวี้เยี่ยนทะลุปรุโปร่ง จึงพูดขึ้นว่า : "เด็กน้อย อย่าไปเอาเรื่องพวกนั้นมาใส่ใจเลย"

เมื่อครู่นี้อวี้เยี่ยนยังเป็นฝ่ายปลอบใจเฉินเสียนอยู่เลย แต่ไม่ได้ปลอบใจตัวนางเอง หลังจากที่รู้ว่าอวิ๋นเอ๋อร์ต้องโทษตาย ภายในใจของนางก็รู้สึกหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก

แต่วันนี้เฉินเสียนพูดขึ้นมาแบบนี้ จึงรู้สึกทำใจได้และแจ่มชัดภายในใจมากขึ้น

เหตุการณ์ครั้งนี้ จริงๆ แล้วอวิ๋นเอ๋อร์ไม่ควรมาตายด้วยซ้ำ เป็นเพราะเซียงซั่นตั้งใจจะทำร้ายอวิ๋นเอ๋อร์ จึงโยนความผิดทั้งหมดให้อวิ๋นเอ๋อร์

เฉินเสียนเปิดประตูออกไป ทอดสายตาไปยังสวนดอกไม้ แล้วเอ่ยขึ้นว่า : "จริงๆ แล้วเซียงซั่นสามารถร่วมมือกับอวิ๋นเอ๋อร์ได้ ถ้าสองคนนั้นรวมหัวกันขึ้นมาก็คงจะรับมือยากไม่ใช่เล่น เสียดายที่อวิ๋นเอ๋อร์มีจิตใจที่อยากจะครอบครองทุกอย่าง แต่สุดท้ายแล้ว มัจฉาตายตาข่ายขาด"

อวี้เยี่ยนจึงพูดขึ้นว่า : "ปลูกแตงได้แตง ปลูกถั่วได้ถั่วเพคะ"

หลิ่วเหมยอู่นึกไม่ถึงเลยว่าบ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างตัวตลอด แต่เพียงชั่วอึดใจเดียว จะถูกโทษโบยจนตาย

ได้ยินมาว่าตอนที่อวิ๋นเอ๋อร์ถูกโบยนั้น ในปากของนางคาบผ้าไว้ เพียงแค่จะร้องด้วยความเจ็บปวดก็ยังร้องไม่ได้ เมื่อการทรมานจบลง บนพื้นก็เต็มไปด้วยคราบเลือด

บ่าวรับใช้ใช้เวลานานมากกว่าจะล้างคราบเลือดออก

คนในจวนแม่ทัพต่างพากันหวั่นกลัวและสยดสยอง ทั้งจวนไร้ซึ่งบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาและผ่อนคลายไป

บรรยากาศอึมครึมที่เต็มไปด้วยแรงกดดันอันหนักอึ้งแบบนี้ ต่อเนื่องอยู่หลายวัน หลิ่วเหมยอู่เองก็ป่วยอยู่หลายวัน

ฉินหรูเหลียงมาเยี่ยมนางทุกวัน เป็นห่วงว่าหากนางซึมเศร้าและตรอมใจแบบนี้ต่อไป ร่างกายต้องแย่แน่ๆ จึงสั่งให้พ่อบ้านไปจ้างคณะละครมาตั้งเวทีร้องรำทำเพลงอยู่หน้าเรือนของจวน

และแล้วละครชุดนี้ก็ทำให้หลิ่วเหมยอู่ยิ้มขึ้นมาได้ จึงได้รับรางวัลจากฉินหรูเหลียง

เวลานี้ บรรยากาศในจวนก็ค่อยๆ เริ่มคึกคักและมีชีวิตชีวาขึ้นมา

แม้ว่าลึกๆ หลิ่วเหมยอู่จะรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวเพียงใด แต่นางไม่สามารถเย็นชาต่อฉินหรูเหลียงแบบนี้ต่อไปได้

ไม่อย่างนั้นคนที่จ้องแต่จะฉกฉวยโอกาสจะได้ใจเอา และยังจะทำให้ฉินหรูเหลียงหมดความอดทนต่อนางอีกด้วย

เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าละครที่แสดงอยู่บนเวทีจะไม่ได้ทำให้นางมีความสุข แต่นางก็พยายามฝืนยิ้มออกไป และทำลายความตึงเครียดระหว่างทั้งสองลงไปได้

เซียงซั่นยังอยู่ในสวนดอกพุดตาน นางยังไม่โดนจัดการอะไรทั้งสิ้น ความสัมพันธ์ระหว่างเซียงซั่นและหลิ่วเหมยอู่นั้นไปถึงจุดเยือกแข็งที่สุดแล้ว

แต่คนในจวนไม่มีใครรู้ และเซียงซั่นก็จะถูกท่านแม่ทัพอุปถัมภ์ พูดตามความเป็นจริงแล้ว เซียงซั่นไม่ได้ยินยอมเอง แต่ถูกฉินหรูเหลียงบังคับขืนใจต่างหาก

สำหรับแม่ทัพจะมีภรรยาสามอนุสี่ เป็นเรื่องที่ปกติเป็นอย่างมาก

หากหลิ่วเหมยอู่ไล่เซียงซั่นไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ คงจะหนีไม่พ้นขี้ปากและคำครหาของชาวบ้าน ว่านางจิตใจคับแคบ แม้แต่บ่าวรับใช้ข้างตัวก็ยอมให้ไม่ได้

หากรู้ว่าเซียงซั่นเป็นบ่าวรับใช้ข้างตัวที่หลิ่วเหมยอู่เคยโปรดปรานที่สุด

ถ้าเป็นแบบนี้ วันข้างหน้าใครจะกล้ามารับใช้นางอย่างซื่อสัตย์สุดกายสุดใจ

ตกบ่าย ฉินหรูเหลียงตัดสินใจเดินเข้าไปที่สวนดอกพุดตานของหลิ่วเหมยอู่

เหมยอู่ย่อตัวคำนับทักทาย

ฉินหรูเหลียงถามขึ้นว่า : "เหมยอู่ เจ้าชิงชังข้าหรือ?"

หลิ่วเหมยอู่ฝืนยิ้มพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า : "เหมยอู่หรือจะบังอาจชิงชังท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพทั้งรักและเอ็นดู คอยทะนุถนอมเหมยอู่ ก็เป็นบุญวาสนาของเหมยอู่แล้วเจ้าค่ะ แต่หากมีเพียงเหมยอู่คนเดียว ย่อมเบื่อหน่ายเป็นธรรมดา"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี