ข้าคือหงส์พันปี นิยาย บท 565

เฉินเสียนไม่คิดว่าเย่เหลียงจะยอมตอบรับเงื่อนไขของเธอ แม้แต่เหล่าขุนนางทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนก็ยังไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน

ทว่าในเวลานี้ เงินสองแสนตำลึงและเสบียงอาหารหนึ่งแสนต้านกำลังอยู่ระหว่างทางลำเลียงมายังต้าฉู่ ในเมื่อได้มาแล้ว เฉินเสียนจึงจัดสรรเสบียงและเงินทองไปยังโครงการต่างๆ โดยไม่ปล่อยไปให้เปล่าประโยชน์ อาศัยช่วงเวลาก่อนที่สายฝนยามคิมหันตฤดูจะเริ่มโปรยปราย รีบบูรณะซ่อมแซมพื้นที่ระบายน้ำและโครงการทดน้ำอย่างทันท่วงที

ฝ่ายโยธาธิการยังเหลือเงินอีกจำนวนหนึ่งไว้สำหรับซ่อมแซมกำแพงเมืองหลวง

ตั้งแต่จบสงคราม ศาลาบนกำแพงเมืองก็มีรอยแตกร้าวและยังไม่มีเวลามาซ่อมบำรุง ถึงอย่างไรศาลาแห่งนั้นก็เป็นแนวหน้า เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการปกป้องดินแดนต้าฉู่ เมื่อใดที่มีเงินเหลือย่อมต้องรีบมาซ่อมแซมโดยเร็วที่สุด

ยิ่งไปกว่านั้นองค์ชายหกกำลังเสด็จมายังเมืองหลวง ทั้งยังเป็นการเกี่ยวดองระหว่างสองอาณาจักร ทั้งในวังและนอกวังจึงต้องเตรียมพร้อมอย่างสมพระเกียรติ

ประชาชนต่างพูดถึงเรื่องการเกี่ยวดองอย่างคึกคักตื่นเต้น ทุกคนต่างพูดติดตลกว่าเมื่อองค์ชายหกแห่งเย่เหลียงอภิเษกเข้ามาอยู่ที่ต้าฉู่ จักรพรรดินีจะแต่งเขาไปอยู่ในวังหลังแบบเดียวกับการรับสนมเข้าวัง

กรมพิธีการจัดสรรเงินบางส่วนไว้เพื่อจัดงานมงคลถวายองค์จักรพรรดินีและองค์ชายหก ซึ่งเดิมทีเฮ่อโยวจะต้องเป็นคนจัดการทั้งหมด แต่เฮ่อโยวไม่อยากเป็นคนเตรียมการเรื่องนี้ จึงมอบหมายให้ขุนนางฝ่ายพิธีการที่อยู่ในการปกครองของตนเป็นคนจัดการ สั่งพวกเขาว่าหากมีอะไรไม่ต้องมารายงานเขา แต่ให้ไปทูลฝ่าบาทได้เลย

ขุนนางฝ่ายพิธีการทั้งสองรู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นเหมือนมันฝรั่งร้อนๆ ในมือที่จัดการยาก แต่พวกเขาต้องกอบกำเอาไว้อย่างระมัดระวังและทำสิ่งต่างๆ ออกมาให้สมบูรณ์

ด้วยเหตุนี้ขุนนางทั้งสองจึงรวบรวมเรื่องที่ยังตัดสินใจไม่ได้เอาไว้ จากนั้นจึงไปเข้าเฝ้าเฉินเสียนเพื่อขอความเห็นจากเธออย่างระมัดระวัง

สิ่งที่จะถามก็อย่างเช่น หลังจากองค์ชายหกแห่งเย่เหลียงอภิเษกเข้ามาแล้ว จะให้เขาอยู่ที่ตำหนักไหนในวังหลัง พวกเขาจะได้ไปจัดการเตรียมความพร้อม หรือไม่ก็เรื่องที่ว่าจะจัดนางกำนัลระดับไหนเพื่อประทานให้องค์ชายหก ทั้งยังมีเรื่องงานเลี้ยงยามค่ำคืนในพระราชวังอีก

เฉินเสียนไม่ค่อยมีน้ำอดน้ำทนนัก เพียงแค่ได้ยินหัวข้อแรกเธอก็เงยหน้าขึ้นจากเอกสารราชการ มองขุนนางทั้งสองด้วยสายตาที่เย็นชาและขัดขึ้นว่า “เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ว่ามอบหมายให้กรมพิธีการจัดการหรอกหรือ มาถามข้าซะทุกเรื่องเช่นนี้ ให้ข้าทำเองเลยดีไหม”

ขุนนางทั้งสองรีบค้อมศีรษะลง

เฉินเสียนถอนสายตากลับมาและถามว่า “เฮ่อโยวอยู่ไหน”

“ทราบมาว่า... ใต้เท้าเฮ่อป่วย จึงมอบหมายให้พวกกระหม่อมมาดูแลพ่ะย่ะค่ะ”

“เขาช่างป่วยได้ทุกเวลาเสียจริง ในเมื่องานนี้มอบหมายให้พวกท่าน พวกท่านก็หาทางจัดการเสียสิ” ขณะที่ขุนนางทั้งสองกำลังจะกลับออกไป เฉินเสียนก็กล่าวเสริมขึ้นมาอย่างฉับพลันว่า “ว่ากันว่าตำหนักที่พระสนมฉีเคยประทับมีผีสิงมิใช่รึ มอบตำหนักนั้นให้องค์ชายหกก็แล้วกัน”

“...พ่ะย่ะค่ะ”

เฉินเสียนไม่ได้ให้ความสำคัญกับการอภิเษกทางการเมืองในครั้งนี้มากนัก ขุนนางทุกคนในราชสำนักต่างทราบเรื่องนี้และรู้สึกอับจนหนทาง ไม่รู้ว่าจะรับมือต่อท่าทีที่เฉยเมยและเฉื่อยชาของเฉินเสียนอย่างไรดี

มีเพียงเฮ่อโยวและฉินหรูเหลียงเท่านั้นที่รู้ว่าซูเจ๋อต้องใช้ความหนักแน่นแค่ไหนจึงเกลี้ยกล่อมให้เฉินเสียนยอมรับองค์ชายหกผู้นั้นได้ และในที่สุดเฉินเสียนก็เต็มใจยอมรับความทุกข์ทรมานที่น้อยคนนักจะเข้าใจ

หลังจากนั้นราชสำนักยังคงดำเนินไปเช่นเดิม เฉินเสียนยังคงได้รับหนังสือฟ้องร้องซูเจ๋อวันละสี่ห้าเล่มทุกวัน หลังจากสะสมมาได้จำนวนหนึ่ง เธอจึงใช้หนังสือเหล่านั้นมาทำฟืนจุดไฟ

สถานการณ์ของต้าฉู่จึงเริ่มดีขึ้นเพราะเงินและเสบียงอาหารที่เย่เหลียงส่งมาให้ เมื่อถึงช่วงการเปลี่ยนผ่านของฤดูกาลจากวสันตฤดูไปสู่คิมหันตฤดู เป็นอย่างที่คิดว่าปริมาณน้ำฝนในปีนี้มีมากกว่าปีที่แล้วมา ทำให้ต้องคอยซ่อมแซมโครงการชลประทานในที่ต่างๆ อยู่หลายครั้งพอให้ต้านทานไปได้

พื้นที่เพาะปลูกผืนใหญ่มีระบบการทดน้ำมาใช้ ทำให้พืชผลทางการเกษตรเจริญเติบโตได้ดี

ภายในเมืองหลวงเต็มไปด้วยความคึกคักรื่นเริงเมื่อถึงช่วงคิมหันตฤดู เวลานี้ไม่มีการจัดเก็บภาษีสูงๆ อีกแล้ว ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนค่อยๆ ดีขึ้นและพวกเขาก็เริ่มตั้งตารอคอยการมาถึงขององค์ชายหก

ได้ยินมาว่าองค์ชายหกกำลังจะมาถึงเมืองหลวงในไม่ช้า

กรมพิธีการจัดเตรียมทหารกองเกียรติยศมารอต้อนรับที่ประตูเมืองแล้ว ทว่ามีข่าวคราวมาจากทางด้านองค์ชายหก ว่าพระองค์ต้องการให้องค์จักรพรรดินีมาต้อนรับพระองค์ด้วยพระองค์เอง องค์ชายหกจึงจะยอมก้าวเข้าไปในเขตเมืองหลวง ทั้งนี้ก็เพื่อแสดงให้เห็นด้วยว่าต้าฉู่ให้ความสำคัญกับการเกี่ยวดองในครั้งนี้ นับแต่นี้ต่อไปต้าฉู่และเย่เหลียงจะมีไมตรีที่ดีต่อกันไปอีกยืนยาว

เฉินเสียนเอ่ยอย่างเคร่งขรึมต่อหน้าเหล่าขุนนางฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหาร “ไมตรีที่ยืนยาวกับผีนะสิ จะมาหรือไม่มีก็เรื่องของพระองค์”

ขุนนางเฒ่าผู้หนึ่งก้าวออกมาและกล่าวว่า “กราบทูลฝ่าบาท ตามขนบข้อบังคับของราชสำนัก ทั้งสองฝ่ายควรไปต้อนรับกันที่ประตูเมืองเมื่อมีการเกี่ยวดอง”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี