องค์ชายหกชำเลืองมองไปที่ด้านหลังของเฉินเสียน เมื่อเห็นหัวหน้าบรรดาขุนนางคือซูเจ๋อ เขาจึงเก็บซ่อนความใจร้อนนั้นเอาไว้ แล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นไร้เดียงสาไม่มีพิษภัย ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาทคงจะล้อข้าเล่น วันนี้ฝ่าบาทยินดีมาต้อนรับข้าเข้าวัง ต่อไปข้ากับท่านก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ทะเลาะกันก็เป็นเพราะความสัมพันธ์ ด่าว่ากันก็เป็นเพราะรัก ทะเลาะกันที่หัวเตียงก็จบลงกันด้วยดีที่ปลายเตียง ตอนนี้มาหยอกล้อเล่นกันนิดหน่อยก็คงจะน่าเบื่อนะสิ”
เฉินเสียนพูดเสียงเบาว่า“ใช่หรือ อย่างนั้นเจ้าก็ควรจะระมัดระวังตัวไว้ให้มาก ไม่แน่ว่าวันไหนข้าเกิดอารมณ์ชั่ววูบขึ้นมา อาจจะหยอกล้อเล่นกับเจ้าจนทำให้ครึ่งชีวิตที่เหลือของเจ้านอนเป็นอัมพาตอยู่บนเตียงก็ได้นะ ”
เพียงพบกันได้ครู่เดียว จักรพรรดินีนั้นก็เริ่มใช้อำนาจคุกคามอย่างน่ากลัวต่อหน้าเหล่ากองเกียรติยศและเหล่าคณะทูตของเย่เหลียงรวมไปถึงเหล่าขุนนางของฝั่งต้าฉู่เองด้วย เป็นเช่นนี้มันจะดีหรือ?
การใช้ชีวิตต่อไปหลังจากนี้มันจะสงบลงหรือไม่?
องค์ชายหกยังคงยิ้มอย่างสดใส แล้วเอ่ยว่า “ถ้าเกิดว่าในภายหน้าต้องนอนเป็นอัมพาตอยู่บนเตียง ก็คงต้องขอรบกวนให้ฝ่าบาทมาดูแลข้าไปชั่วชีวิตแล้วกระมัง เพราะถึงอย่างไรต่อไปภายหน้าข้ากับท่านก็ต้องเป็นสามีภรรยากันอยู่แล้ว”
เฉินเสียนพูดอย่างเหยียดหยามว่า “สามีภรรยา?องค์ชายหก เจ้าคิดเยอะไปแล้ว พระสวามีของข้าต้าฉู่มีเพียงคนเดียว แต่คนอย่างเจ้านั้นอยู่วังหลังที่เล็กๆห่างไกลออกไปสามพันลี้ ใบหน้านั้นยังเป็นสิ่งที่ดี เจ้าควรจะรักษาหน้าตัวเองไว้บ้าง”
“ใบหน้านั้นข้าต้องการแน่นอน ไม่เช่นนั้นท่านคิดว่าข้าจะหน้าดีอย่างนี้หรือ?”องค์ชายหกพูดหยอกล้อกับเฉินเสียนว่า “จักรพรรดินีอย่างท่าน นำเงินและเสบียงของเย่เหลียงข้าไป แต่กลับมาปฏิบัติไม่เป็นธรรมกับข้าเช่นนี้ ราวกับท่านไม่รักษาหน้าของตัวเองมากกว่าข้าเสียอีก”
องค์ชายหกเริ่มประทะคารมกันกับเฉินเสียน ถ้าเกิดมันสามารถจะดึงดูดความสนใจจากเธอได้ แล้วทำให้เธอละเลยความสนใจจากซูเจ๋อผู้ที่อยู่ด้านหลังของเธอได้นั้นก็ถือว่าเป็นวิธีที่ดี
เฉินเสียนหัวเราะเยาะ “เหอะ เรื่องเงินทองนั้นข้าจะไปทำอะไรได้หรือ ถ้าเกิดไม่ใช่ว่าเย่เหลียงของเจ้าส่งทั้งเงินส่งทั้งเสบียงอาหารมา ข้าก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวการชดใช้เงินสินไหมทดแทนเจ้าหรอก”
ภายใต้ลานกว้างใหญ่ต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก เหล่าขุนนางของทั้งสองอาณาจักรต่างก็คาดไม่ถึงว่าเจ้านายของตัวเองนั้นจะมายืนฉีกหน้ากันอยู่หน้าประตูเมือง โดยไม่ได้คำนึกถึงเกียรติยศของทั้งสองอาณาจักรและสถานะของตัวเองกันเสียเลย โต้เถียงกันอย่างดุเดือดและอดไม่ได้ที่จะพูดทิ่มแทงอีกฝ่ายให้รู้สึกละอายแก่ใจ
เหล่าขุนนางของทั้งสองอาณาจักรต่างฝ่ายก็ต่างก็มองหน้ากัน อย่างอึดอัดวางตัวกันไม่ถูก
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ยืนอยู่ด้านหลังพูดเตือนสติเฉินเสียนว่า “ฝ่าบาท เชิญองค์ชายหกเสด็จเข้าวังก่อนดีกว่านะพ่ะย่ะค่ะ…… ”เมื่อประตูปิดลงแล้ว พวกเขาทั้งสองจะทะเลาะกันอย่างไรก็ทะเลาะกันไป มาทะเลาะกันอยู่กลางแจ้งเช่นนี้ นั้นทำให้รู้สึกได้ว่า……มันน่าอับอายเสียจริง
ด้านเย่เหลียงเองก็เริ่มพูดโน้มน้าวว่า“องค์ชายหก ไหนๆก็มาถึงแล้ว รอให้เข้าในไปเมืองก่อนแล้วค่อยพูดคุยกันดีกว่านะพ่ะย่ะค่ะ”
แต่ว่าเจ้านายทั้งสองนั้นกลับทำเหมือนเป็นคนหูหนวกที่ไม่ได้ยินเสียงอะไร
เฉินเสียนยืนอยู่ใต้ศาลาบนประตูเมืองเป็นเวลานาน ชายผู้นี้นั้นมาช้าถ้าในตอนนี้จะให้เขาได้ตากแดดเสียหน่อยเป็นกระไร มันยากที่จะทำให้ความโกรธสงบลงได้
ตั้งแต่เมื่อนานมาแล้วเป็นเพราะว่าเรื่องของระบบศักดินาความสัมพันธ์การแต่งงานกับเย่เหลียง เฉินเสียนก็เก็บกดความโกรธแค้นนั้นไว้มาตลอด และตอนนี้ต้นตอของเรื่องเลวร้ายก็ได้มาอยู่ตรงหน้าเธอแล้ว อย่าคิดว่าเธอจะปฏิบัติกับองค์ชายหกอย่างรักใคร่เลย เธออยากที่จะดึงองค์ชายหกเอาไว้ให้แน่นเพื่อที่จะระบายความโกรธนั้นออกมา
รอยแตกร้าวที่อยู่บนกำแพงเมืองนั้น ราวกับว่าไม่สามารถที่จะรองรับน้ำหนักของศาลาบนประตูเมืองไว้ได้แล้ว รอยแตกร้าวยิ่งลึกขึ้นเรื่อยๆ ยอดศาลาบนประตูเมืองที่เพิ่งก่อขึ้นใหม่ด้วยก้อนหินเมื่อสองวันก่อนนั้นยังไม่แห้งสนิทดี
ผู้คนที่อยู่ด้านล่างของกำแพงเมืองต่างก็ไม่มีใครรู้
องค์ชายหกเข้าใจสถานการณ์เช่นนี้ดีว่าถ้าใครเป็นคนที่เริ่มเอาจริงเอาจังก่อนคนนั้นก็จะเป็นฝ่ายแพ้ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ท่านพูดว่าใครต้องชดใช้ค่าสินไหมนั่น?”
เฉินเสียนเม้มปากแล้วยิ้ม“เจ้าว่าอย่างไรหล่ะ พวกเจ้าเย่เหลียงส่งเงินส่งเสบียงมา เจ้าไม่ใช่คนที่ต้องกลับมาชดใช้หรือ?”
องค์ชายหกกล่าว “ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเย่เหลียงของข้าก็สามารถที่จะจ่ายเงินและเสบียงได้ ยังดีกว่าจักรพรรดินีที่ยากจนจนต้องแต่งตัวเพื่อออกมาขายทรัพย์ของบ้านเมือง”
เฉินเสียนยังไม่ทันได้ตอบกลับ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างตกใส่บนศรีษะ เธอจึงเอื้อมมือขึ้นไปสัมผัสที่มวยผมแล้วหยิบขึ้นมาดู เห็นเป็นเม็ดทรายที่แตกละเอียด จึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “นี่คงเป็นเม็ดทรายจากสวรรค์สินะ ถ้าเกิดว่าข้ารับเจ้าเข้าวัง สวรรค์ก็คงจะอึดอัดน่าดู ช่างน่าเวทนายิ่งกว่าชีวิตที่อาภัพเสียจริง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...