จากนั้น เฮ่อโยวและเหลียนชิงโจวก็ได้รีบเดินทางมาฉลองวันเกิดให้กับซูเซี่ยน ทั้งสองได้นำของขวัญมาด้วยไม่น้อย ซูเซี่ยนแสดงอิริยาบถสุขุมเฉกเช่นผู้ใหญ่ก็ไม่ปาน ใบหน้าที่ขาวเนียนสีหน้าจริงจังไม่ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาแต่อย่างใด พลอยทำให้ผู้คนหลงรักเข้าไปใหญ่
ห้องโถงทางด้านหน้ามีเฮ่อโยวและเหลียนชิงโจวคอยดูแลอยู่ ส่วนในครัวก็กำลังเตรียมอาหารมื้อค่ำ ซูเจ๋อที่ว่างอยู่จึงได้เข้าไปดูในห้องครัว ก็เห็นว่าทั้งห้องครัวนั้นเต็มไปด้วยควันหมอกที่ขาวโพลน เฉินเสียนที่กำลังยุ่งจนมือไม้พันกันไปหมด เขาเองได้ยืนดูอยู่ข้างประตูครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็รู้สึกว่าคนที่อยู่ท่ามกลางไอหมอกนั้นอบอุ่นเสียเหลือเกิน
เฉินเสียนผสมเนื้อเค้กจนได้ที่แล้วก็นำไปอบในเตา เมื่อหันกลับมาก็บังเอิญเห็นซูเจ๋อที่ยืนอยู่ด้านหลังของเธอพอดี เธออึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ทำไมถึงมาล่ะ อาเซี่ยนล่ะ?”
“เขามีคนอยู่เป็นเพื่อนแล้ว”
เมื่อเฉินเสียนยุ่งเสร็จแล้ว คราวนี้ก็เหลือแค่รอนำขนมเค้กออกจากเตาอบเท่านั้น คนในครัวจะดูความแรงของฟืนไฟต่อเอง
ซูเจ๋อจึงโอบไหล่เฉินเสียนพาไปยังห้องโถงทางด้านหน้า เมื่อเจอเฮ่อโยวและเหลียนชิงโจวเธอก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ทุกคนต่างพากันพูดคุยอย่างสนุกสนาน
เมื่อถึงเวลามื้อค่ำ เหลียนชิงโจวก็ได้ยกสุราเก่าแก่ออกมาหนึ่งขวด พร้อมกับถามเฉินเสียนว่า : “ดื่มสักจอกไหม?”
เฉินเสียนยิ้มตาหยี พร้อมกับเหลือบสายตามองไปยังซูเจ๋อ เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ว่าอะไร เธอจึงตอบกลับไปว่า : “งั้นก็รินมาสักจอก” ซูเจ๋อไม่ดื่มสุรา เธอก็ควรจะดื่มเป็นเพื่อนแขกหน่อยกระมัง
เฮ่อโยวคอไม่ค่อยแข็งเท่าไหร่นัก ดื่มไปแค่จอกสองจอกก็เริ่มพูดพล่ามไม่หยุด เขาเริ่มตำหนิติติงเหล่าบรรดาท่านลุงท่านอารวมถึงท่านพ่อของเขาเป็นการใหญ่ ว่าที่เหล่าขุนนางเหล่านั้นออกมาประท้วงไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องเลยแม้แต่น้อย
เหลียนชิงโจวหัวเราะเหมือนกับจิ้งจอกก็ไม่ปาน เขายังคงคอยเติมเหล้าให้เฮ่อโยวไม่ขาดสาย
เมื่อเฉินเสียนเริ่มเมาได้ที่แล้ว ซูเจ๋อจึงได้ยื้อจอกเหล้าของเธอเอาไว้ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นน้ำชาแทน
เฮ่อโยวได้กอดไหล่ของเหลียนชิงโจว พร้อมกับถามขึ้นว่า : “เหล้าชั้นดีนี้ เจ้าเอามาจากที่ไหนกัน?”
เหลียนชิงโจวจึงตอบกลับไปว่า : “เพื่อที่จะหาเลี้ยงชีพ ข้าน้อยเองได้เดินทางไปทั่วทุกหนทุกแห่ง หมักสุราชั้นดีออกมาสักขวดก็คงจะไม่เกินความสามารถกระมัง ใต้เท้าเฮ่อเก็บอาการหน่อย องค์ชายใหญ่กำลังมองอยู่ อย่าเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีให้กับเด็กสิ”
ตอนนี้คนที่มีสติที่สุดก็เหลือเพียงแค่ซูเจ๋อกับซูเซี่ยนเท่านั้น
ซูเซี่ยนยกถ้วยชาขึ้นมาจิบเป็นพักๆ อนาคตเขาไม่ได้อยากเป็นเหมือนสองคนนี้ ที่เมาจนไม่เป็นผู้ไม่เป็นคน
ต่อมาขนมเค้กก็ถูกอบจนเสร็จ คนในห้องครัวจึงได้ยกมาให้ เฉินเสียนจุดเทียนให้ซูเซี่ยน และได้ให้ซูเซี่ยนอธิษฐานขอพรด้วย
เธอที่ค่อนข้างดื้อดึง ใบหน้าของเธอแดงก่ำ ดวงตาอ่อนโยน บนใบหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยรอยยิ้ม
ซูเจ๋อที่ในตอนแรกไม่ชอบขั้นตอนเหล่านี้เลย แต่เมื่ออยู่ภายใต้การจัดแจงของเฉินเสียนแล้วนั้น เขาไม่อาจปฏิเสธได้เลย โดยเฉพาะตอนที่แสงเปลวเทียนนั้นค่อยๆ สว่างขึ้นมา เฉินเสียนที่ยืนปรบมืออย่างเป็นจังหวะอยู่ข้างๆ เขาพร้อมกับร้องเพลงวันเกิด
เฉินเสียนที่ค่อนข้างเมาแล้ว
จึงร้องเพลงอย่างสนุกสนานและเบิกบานใจ ท่วมท้นไปด้วยความสุข น้ำเสียงอ่อนโยนที่ค่อนข้างแหบพร่าของเธอนั้น ฟังแล้วไพเราะมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก ห้วงเวลาที่เธอยิ้มขึ้นมานั้น ราวกับเด็กน้อยไม่ปาน
สองพ่อลูกต่างพากันหรี่ดวงตาที่เรียวยาวนั้นพร้อมกับจ้องมองไปยังเธอ
เมื่อเธอร้องเพลงจบแล้ว ก็ได้หันมาถามซูเซี่ยนว่า : “อธิษฐานเสร็จแล้วหรือยัง? หรือว่ายังไม่เสร็จ จะให้แม่ร้องใหม่อีกรอบหรือเปล่า?”
ซูเซี่ยนจึงพูดขึ้นว่า : “ท่านแม่ร้องใหม่อีกหนึ่งรอบ”
เพราะเขารู้สึกว่าเสียงท่านแม่ของเขานั้นไพเราะและน่าฟังเป็นที่สุด
เฉินเสียนจึงปรบมือร้องเพลงใหม่อีกรอบอย่างตั้งใจ แล้วจึงถามขึ้นอีกครั้งว่า : “อธิษฐานเสร็จแล้วหรือยัง?”
เมื่อซูเซี่ยนเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นว่าเฮ่อโยวและเหลียนชิงโจวเองก็ได้ตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อด้วย เขาจึงได้ตอบกลับไปว่า : “อธิษฐานเสร็จแล้ว” จากนั้นเขาก็นึกขึ้นในใจว่า ไม่ใช่วันเกิดของพวกเขาซะหน่อย จะตั้งใจฟังขนาดนั้นทำไมกัน
ในขณะที่เฉินเสียนกำลังแบ่งขนมเค้กอยู่นั้น ก็ได้พูดขึ้นว่า : “พ้นวันนี้ไป อาเซี่ยนของเราก็ครบสามขวบแล้ว อาเซี่ยนอย่าได้รีบร้อน ค่อยๆ เติบโตช้าๆ ไม่ว่ายังไงแม่กับพ่อเจ้าก็อยู่เคียงข้างและดูแลเจ้าเสมอ ตอนที่ยังเป็นเด็กเล็กก็ควรเก็บเกี่ยวแต่ความสุขและความทรงจำของเด็กเล็ก เมื่อเติบใหญ่แล้วจะได้มีความทรงจำที่สวยงามให้หวนนึก อีกอย่าง อย่างเคร่งเครียดและจริงจังมากจนเกินไป ไปฝึกเหมือนพ่อเจ้าไม่ดี วันข้างหน้าสาวๆ จะไม่กล้าเข้าใกล้เอาได้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...