สายลมพัดโชยอ่อนภายในสวนไผ่ ทั้งสองเดินจูงมือเคียงข้างกันไปตามทางเดินซึ่งทอดยาวไปจนถึงริมสระ ซูเจ๋อรวบชายเสื้อและนั่งลงที่สุดทางเดินนั่น เฉินเสียนนั่งลงข้างๆ และเอนศีรษะแอบอิงเขา
เธอเงยหน้ามองดวงจันทร์กระจ่างในท้องฟ้ายามค่ำคืน จันทร์เสี้ยวโค้งมนดั่งตะขอเงิน ขาวนวลราวกับหยกบริสุทธิ์
เฉินเสียนเฝ้ามองและโอบเอวซูเจ๋อไว้โดยไม่รู้ตัว กระชับกอดแน่น กลิ่นหอมจางๆ ของไม้กฤษณาทำให้หัวใจของเธอทั้งไหวหวั่นและรู้สึกสงบไปพร้อมๆ กัน
เธอรู้สึกว่าบุรุษที่เธอกำลังโอบกอดเป็นเหมือนสายลมที่เย็นฉ่ำในยามค่ำคืน เป็นดวงจันทร์สว่างไสวบนท้องนภา เธออยากจะกอดเขาให้แน่น ไม่อย่างนั้นเธอเกรงว่าเธอจะต้องแยกจากเขาไป
เฉินเสียนค่อยๆ หลุดจากภวังค์ เธอเอนศีรษะซบลงบนแผงอกของซูเจ๋อและสัมผัสได้ถึงความชุ่มเย็น
ซูเจ๋อใช้เสื้อคลุมของเขาคลุมตัวเธอไว้และถามว่า “หนาวไหม”
เฉินเสียนส่ายหน้า เอื้อมมือออกมาสัมผัสบริเวณคอเสื้อของเขา ลูบไล้ไปบนลวดลายละเอียดอ่อนบนอาภรณ์นั้น
“เหล่าขุนนางไม่เข้าเฝ้าที่ราชสำนักมากี่วันแล้วหรือ” ซูเจ๋อรู้แต่ยังถาม
“สามวัน” เฉินเสียนยิ้มมุมปาก “ท่านมีความคิดดีๆ หรือไม่ ซูเจ๋อ”
ปลายนิ้วที่ทั้งอบอุ่นและเยียบเย็นของซูเจ๋อลูบไล้เส้นผมที่คลอเคลียอยู่ข้างหูของเธอ เขากล่าวว่า “ถ้าท่านยอมให้พวกเขาปลดข้าออก เรื่องจะไม่กลายเป็นเช่นนี้”
“แล้วใครจะยอมทำตามสิ่งที่ข้าต้องการ” เฉินเสียนพึมพำ “ตั้งแต่ลงนามในข้อตกลงกับเย่เหลียง ท่านน่าจะพอคาดการณ์ได้อยู่แล้วว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นวันนี้ ท่านคงตั้งใจไว้แล้วว่าจะเสียสละตัวเองเพื่อสนับสนุนข้า ถูกต้องหรือไม่”
ซูเจ๋อยิ้มนิดหนึ่งและเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ในสายตาของท่าน ข้ายิ่งใหญ่ขนาดนั้นเชียวหรือ จักรพรรดิลุ่มหลงในอำนาจ นั่นคือสัจธรรมของโลก วิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน กระต่ายม้วยฆ่าสุนัข... นั่นคือวิถีแห่งราชสำนัก ทว่ามีเพียงแค่ท่าน ที่ไม่ลุ่มหลงในอำนาจ ไม่เดินตามเส้นทางนั้น การปล่อยข้าไว้เป็นการละเมิดข้าห้ามของจักรพรรดิ พวกเขากลัวว่าท่านจะเลี้ยงเสือให้กลับมาเป็นภัย นั่นคือธรรมชาติของมนุษย์”
เฉินเสียนกล่าวว่า “ข้าไม่อยากกลายเป็นกษัตริย์ผู้โดดเดี่ยว เหตุใดข้าจึงต้องรักแผ่นดินนี้ เหตุใดข้าจึงต้องนั่งในตำแหน่งนี้ ท่านรู้ดี ว่าทั้งหมดก็เพื่อท่าน ซูเจ๋อ ข้าเศร้าใจเหลือเกิน ถ้าท่านจากไป ข้าก็ไม่อยากเป็นจักรพรรดินีอีกต่อไปแล้ว”
“แต่ท่านทำได้ดีมาก ท่านไม่เพียงแต่ปกป้องประชาชนชาวต้าฉู่ แต่ท่านยังปกป้องข้าด้วย เย่เหลียงไม่ได้ดูแคลนเรื่องของข้า ดังนั้นชื่อเสียงของข้าจึงไม่ด่างพร้อย” ซูเจ๋อเอ่ยอย่างผ่อนคลาย “การได้รับการปกป้องจากท่านทำให้ข้ามีความสุข ทว่าก็ทำให้ข้ารู้สึกเจ็บปวดใจ”
เฉินเสียนยิ้มและเอ่ยว่า “ท่านเจ็บปวดใจเพราะข้าเหรอ เช่นนั้นที่ข้าเคยได้รับการปกป้องจากท่านไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ข้าไม่มิเจ็บปวดใจจนตายแล้วหรือ”
ซูเจ๋อหลุบตาลงมองสตรีผู้อยู่ใต้แสงจันทร์อย่างเงียบเชียบ เนิ่นนานกว่าเอื้อนเอ่ย “อาเสียน ข้าจะไม่จากไปไหน จะไม่ปล่อยให้ท่านต้องเผชิญหน้ากับเหล่าขุนนางอย่างโดดเดี่ยว จะไม่ปล่อยให้ท่านคอยเฝ้าดูความสำเร็จของต้าฉู่เพียงลำพัง ถ้าข้าอยู่กับท่าน ท่านจะยังเศร้าใจอยู่หรือไม่” นิ้วของเขาลูบไล้อยู่บนใบหน้าของเธอ “ท่านกลัวไหม ว่าการเลี้ยงเสือจะนำภัยพิบัติมาให้ท่าน”
เฉินเสียนตกตะลึงและเงยหน้ามองเขา
เขากดคิ้วต่ำ แสงจันทร์ส่องประกายอยู่ในแววตา ซูเจ๋อยิ้มให้เฉินเสียน ทว่าดวงตาคู่นั้นลึกล้ำและดูเปลี่ยวเหงาราวกับท้องฟ้าที่กว้างใหญ่
ซูเจ๋อกล่าวว่า “ในเมื่อไม่มีทางที่จะได้เป็นคนที่อยู่ร่วมเรียงเคียงหมอนกับท่านอย่างถูกทำนองคลองธรรม เช่นนั้นก็ทำให้ข้าเป็นขุนนางผู้กุมอำนาจสูงสุดอยู่ข้างกายท่านดีหรือไม่”
เฉินเสียนตื่นตัวขึ้นมาในฉับพลัน
ท่ามกลางสายลมเย็นและแสงจันทร์นวลผ่อง ซูเจ๋อเกลี่ยผมเธอไว้ที่ซอกนิ้ว เขากล่าวว่า “ถ้าพูดถึงการแสดงอำนาจ ข้าทำได้ดีกว่าพวกเขามาก ข้าจะเป็นดาบในมือท่าน ฟาดฟันขวากหนามที่กีดขวางทางท่านให้สิ้นซาก ในวันข้างหน้าข้าจะพาท่านไปชื่นชมความยิ่งใหญ่ตระการตาของต้าฉู่ บนที่สูงนั้นหนาวเหน็บ แต่เมื่อหวนมองกลับมาจะมีที่พึ่งพิง ท่านจะไม่กลายเป็นกษัตริย์ผู้โดดเดี่ยว จนเมื่ออาเซี่ยนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ข้าจะพาท่านท่องไปทั่วทุกหนทุกแห่ง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...