ซูเจ๋อใช้นิ้วลูบไล้ที่ริมฝีปากของเธอ ปลายจมูกคลอเคลียกันก่อนที่ริมฝีปากจะประทับลงมา ลมหายใจของทั้งคู่เคล้าคลอพัวพันกันไปมาอย่างเอ้อระเหย เฉินเสียนอยากจะกัดเขาแรงๆ ทว่าสุดท้ายก็ทำใจไม่ได้ และกลายเป็นว่าค่อยๆ ถูกเขาสูบกลืนจนหมดเรี่ยวแรง
สายคาดเอวคลายออก ซูเจ๋อยกร่างของเฉินเสียนขึ้นและกดเธอไว้กับบานประตูด้วยความปรารถนา
เขาโอบร่างของเธอไว้อย่างระรานและเอาแต่ใจ แยกขาของเธอออก ทันทีที่ส่งแก่นกายเข้าไปก็สัมผัสได้ถึงความเปียกลื่นและคับแน่น เฉินเสียนทนไม่ไหวเมื่อความอิ่มเอิบแทรกลึกเข้ามาอย่างกะทันหัน นิ้วเท้าของเธอหดเกร็ง งอขาโอบไว้รอบเอวซูเจ๋ออย่างแนบแน่น
ชายผ้าที่ห้อยลงมาพลิ้วไหวเบาๆ ทันทีที่ซูเจ๋อจู่โจมเข้ามาในร่างกาย เธอก็ฟุบลงไปบนไหลของเขาและส่งเสียงครางออกมา
เมื่อเขาตัดสินใจทำอะไร เธอไม่มีทางยับยั้งเขาได้
เฉินเสียนเหมือนเรือลำน้อยลอยคว้างอยู่ในท้องทะเลอันกว้างใหญ่ รองรับคลื่นลมที่ซูเจ๋อนำพาเข้ามา เธอกัดไหล่หนาของชายตรงหน้า มือเรียวพัวพันอยู่กับเส้นผมของเขา เอ่ยด้วยน้ำเสียงขาดๆ หายๆ ว่า “จะต้อง เป็นแบบนี้จริงๆ หรือ...”
ซูเจ๋อไม่ตอบ เขาเพียงแต่โอบรัดเอวของเธอไว้ ส่งแก่นกายเข้าไปลึกและร้อนแรงยิ่งกว่าเดิม
เฉินเสียนถูกเขากดลงบนเตียงอย่างคนสติหลุดลอย เขาปัดเส้นผมที่ข้างหูเธอออก จุมพิตลงบนใบหูพลางเอ่ยว่า “ถ้าท่านตอบรับข้า แม้แต่วิญญาณร้ายก็ทำอะไรข้าไม่ได้ ข้าจะปกป้องท่านได้ตลอดชีวิต ท่านก็เช่นกัน”
วันที่สองที่กลับไปที่ราชสำนัก ที่นั่นยังคงไม่มีขุนนางมาเข้าเฝ้า เฉินเสียนนั่งอยู่ในท้องพระโรงที่ว่างเปล่าเพียงผู้เดียว เหลือบมองดูพระอาทิตย์ที่โผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมา
อวี้เยี่ยนเข้ามาเตือนด้วยความเป็นห่วงเมื่อยามใกล้เที่ยง “ฝ่าบาท ควรเสด็จกลับพระตำหนักไท่เหอเพื่อเสวยอาหารกลางวันได้แล้วนะเพคะ ฝ่าบาททรงเหนื่อยเกินไปหรือไม่ หยุดพักเสียหน่อยดีกว่าไหมเพคะ”
เฉินเสียนนิ่งเฉยอยู่เป็นครู่ใหญ่ เธอเห็นใครคนหนึ่งเดินผ่านประตูหานอู่เข้ามาในจัตุรัสขนาดใหญ่ สายลมพัดปะทะเครื่องแบบขุนนางของเขา เป็นชายชราทว่าดูเต็มไปด้วยกำลังวังชา
เขาเดินเข้ามาถึงบันไดหยกหนึ่งร้อยขั้นและค่อยๆ ก้าวขึ้นมาทีละขั้นๆ เนื่องด้วยอายุที่มากแล้ว เขาจึงก้าวขึ้นมาค่อนข้างช้า
อวี้เยี่ยนเอ่ยอย่างสำรวมว่า “ฝ่าบาท ดูเหมือนจะเป็นท่านเฮ่อเซียงเพคะ”
หลังจากนั้นไม่นานเฮ่อเซียงก็เดินขึ้นมาจนสุดขั้นบันไดสีขาวที่ทอดยาว เขาเดินมาอยู่ตรงหน้าเฉินเสียน ประสานมือคารวะตามธรรมเนียมและเอ่ยว่า “กระหม่อมเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
เฉินเสียนประคองเขาให้ลุกขึ้นและกล่าวว่า “เฮ่อเซียงพักฟื้นอยู่ที่เรือน วันนี้มาเข้าเฝ้ายามเช้าหรือ? น่าเสียดายที่เหล่าขุนนางไม่ได้มาเข้าเฝ้า เฮ่อเซียงมาผิดเวลาเสียแล้ว”
เฮ่อเซียงถามว่า “แล้วเหตุใดฝ่าบาทจึงยังรออยู่ที่นี่และไม่ยอมกลับล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
“อยู่ๆ ข้าก็ว่างมาก ไม่รู้ว่าจะทำอะไร”
“เช่นนั้นกระหม่อมมีเรื่องจะทูลฝ่าบาทเรื่องหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ” เฮ่อเซียงโค้งคำนับ เขาดึงบางอย่างออกมาแล้วยื่นให้เฉินเสียน
เฉินเสียนรับไว้ เปิดห่อผ้าไหมสีเหลืองออก จากนั้นก็ชะงักไป “ตราประทับเสนาบดีของท่านนี่เฮ่อเซียง”
เฮ่อเซียงกล่าวว่า “กระหม่อมชรามากแล้วและเกรงว่าจะแบกรับหน้าที่สำคัญอีกไม่ไหว ช่วงหลังมานี้ก็มิได้เข้ามาควบคุมดูแลกิจในราชสำนักเลย กระหม่อมมิอาจเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เหล่าขุนนาง จึงทำให้เกิดความเงียบเหงาขึ้นในราชสำนักเช่นนี้ เป็นความผิดของกระหม่อม กระหม่อมมิอาจดำรงตำแหน่งในราชสำนักต่อไป จึงมากราบทูลฝ่าบาทเพื่อขอลาพ้นจากตำแหน่งอัครเสนาบดีแห่งต้าฉู่ ขอฝ่าบาทโปรดทรงอนุญาต”
ทันใดนั้นมือที่ถือตราประทับอัครเสนาบดีไว้ก็รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา
เนิ่นนานกว่าเฉินเสียนจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยินดียินร้ายว่า “เฮ่อเซียงเองก็ประท้วงเพื่อกดดันข้าด้วยหรือ”
“กระหม่อมมิบังอาจ”
“หากไม่รังเกียจ ท่านอดีตอัครเสนาบดีช่วยนั่งกับข้าสักครู่ได้หรือไม่” เฉินเสียนชี้ไปที่ธรณีประตูที่อยู่ข้างๆ จากนั้นเธอจึงรวบฉลององค์ของจักรพรรดิและนั่งลงที่ธรณีประตูสีแดงสด
เฮ่อเซียงรวบเครื่องแบบขุนนางของเขาและค่อยๆ นั่งลงข้างๆ เธอ เขาทุบขาทั้งสองข้างของตัวเองและกล่าวว่า “แก่แล้วอะไรๆ ก็ไม่ดี หลังจากเดินมาได้สักพักกระหม่อมก็เริ่มปวดหลังปวดเอว”
เฉินเสียนถามว่า “ช่วงนี้สุขภาพของท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ ยิ่งแก่ชราร่างกายก็ยิ่งอ่อนแออย่างไม่มีทางเลี่ยง กระหม่อมคิดว่าคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่ปี ได้แต่หวังว่าบุตรชายที่ไม่เป็นโล้เป็นพายจะแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาเร็วๆ กระหม่อมจะได้มีหลานชายเสียที”
เฉินเสียนกล่าวว่า “เรื่องนี้ง่ายมาก ถ้าเฮ่อเซียงถูกใจบุตรสาวเรือนไหนและอยากได้มาเป็นสะใภ้ ข้าจะพระราชทานงานแต่งให้ลูกชายของท่าน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...