ค่ำคืนนี้เธอได้หลับลึกและสบายใจเป็นอย่างมาก เธอเฝ้าบอกและย้ำเตือนสติตัวเองอยู่เสมออย่างไม่รู้ตัว ว่าความทรงจำของเมื่อค่ำคืนนี้พิเศษเป็นอย่างมาก พรุ่งนี้เมื่อตื่นขึ้น เธอจะต้องไม่ลืมมันเป็นอันขาด
ห้ามลืมเป็นอันขาด
มันเหมือนกับฝันไม่มีผิด เวลาที่ฝันเห็นสิ่งที่มีค่ามากๆ ก็มักจะชอบย้ำเตือนสติตัวเองอย่างไม่รู้ตัวเสมอ ว่าเมื่อตื่นขึ้นจากฝันแล้วจะต้องไม่ลืมเรื่องที่ฝันเป็นอันขาด แต่เมื่อตื่นขึ้น กลับพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างได้หายไปอย่างไม่มีวันที่จะหาเจออีก
วันถัดมา เมื่อเฉินเสียนตื่นขึ้น เธอก็รู้สึกหน้ามืดและเวียนหัวไปหมด เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าซูเซี่ยนนั่งเฝ้าเธออยู่ข้างๆ เตียง ในมือของเขากำลังถือซุปสร่างเมาอยู่
ซูเซี่ยนยื่นถ้วยซุปสร่างเมาให้กับเธอ พร้อมกับถามขึ้นว่า : “เมื่อคืนสนุกหรือเปล่า?”
เฉินเสียนยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “สนุก”
ต่อมา ในหัวของเธอก็รู้สึกตื้อไปหมดทั้งเช้า เฉินเสียนรู้ว่าเมื่อคืนนี้เธอมีความสุขเป็นอย่างมาก แต่มีความสุขเรื่องอะไรนั้น เธอกลับลืมมันไปเสียหมด
เธอนั่งอยู่ที่ระเบียงทางเดิน เคาะศีรษะเบาๆ เฝ้าบอกให้ตัวเองคิดให้ออกสิ
เธอนึกขึ้นได้เพียงเลือนราง ว่าเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมานี้ เธอและซูเจ๋อได้นัดพบกัน ตอนนั้น ละครที่โรงละครได้จบไปตั้งนานแล้ว ซูเจ๋อพาเธอเดินไปที่ชายหาด ปิ้งปูทานกัน
ความทรงจำหลังจากนั้นทุกอย่างก็มืดไปหมด
ประเด็นสำคัญคือ เธอจำได้เลือนรางว่าเหตุการณ์ที่ทำให้เธอมีความสุขนั้นไม่ได้อยู่ในช่วงแรก แต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นต่างหาก
ซูเซี่ยนเดินเข้าออกที่ลานสวนอยู่หลายรอบ ทุกครั้งที่เขาเดินเข้าออกนั้น เขามักจะเห็นเฉินเสียนนั่งเคาะหัวของตัวเองอยู่เสมอ เขาจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เข้มขรึมว่า : “หยุดเคาะได้แล้ว เรื่องที่นึกไม่ออก ต่อให้เคาะจนหัวแตก ก็คิดไม่ออกอยู่ดี”
เฉินเสียนหรี่ตาลง เธอมองไปยังซูเซี่ยนด้วยสายตาที่โศกเศร้า พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “แต่แม่รู้สึกอยู่ตลอดเวลา ว่าตัวแม่นั้นได้ลืมเรื่องที่สำคัญที่สุดไป”
ใกล้ช่วงเที่ยง ซูเจ๋อมาหาเฉินเสียนที่ลานสวน เห็นเธอนั่งอยู่ที่ระเบียงทางเดิน แสงแดดค่อยๆ ปีนป่ายขึ้นมายังระเบียงทางเดิน วาดย้ำรูปร่างและลายเส้นของกระเบื้องหลังคา ส่องแสงสว่างไปยังชายกระโปรงของเธอ
เขายืนอยู่ใต้ต้นไม้มองดูอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อยเอ่ยขึ้นว่า : “สร่างเมาแล้วหรือ?”
เฉินเสียนชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ก็รู้สึกร้อนรนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เธอลุกขึ้นอย่างรีบร้อนพร้อมกับหมุนตัวแล้วเดินตรงไปที่ห้องทันที
“กลัวข้าขนาดนี้เชียวหรือ?” ซูเจ๋อเดินเข้ามาในลานบ้านด้วยท่าทีที่สบายใจ
เฉินเสียนจึงตอบกลับไปว่า : “ข้าจะเข้าไปเปลี่ยนชุด”
ซูเซี่ยนที่อยู่ข้างๆ จึงได้เตือนเธอว่า : “เมื่อเช้าท่านแม่เปลี่ยนเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องเป็นกังวลไป ไม่ได้ถือว่าเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่เรียบร้อยหรอก”
ขาข้างหนึ่งของเฉินเสียนเหยียบเข้าไปในห้องแล้ว ส่วนขาอีกข้างยังอยู่ตรงนอกประตู หันกลับไปมองหน้าซูเซี่ยนด้วยสีหน้าที่ทั้งอึ้งและค้าง เด็กคนนี้นี่ เป็นพยาธิในท้องเธอรึไงกันนะ รู้สิ่งที่เธอคิดในใจได้ยังไงกัน
ที่น่าตลกก็คือ ห้วงเวลาที่เธอเห็นซูเจ๋อนั้น ในใจของเธอเป็นกังวลเรื่องภาพลักษณ์ภายนอกของเธอจริงๆ เสียด้วย……
จากนั้นเธอก็ชักเท้ากลับ หันมาด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น มองเห็นซูเจ๋อที่ยืนอยู่ภายใต้แสงแดดนั่น สีผิวที่ถูกแสงของแดดขับจนสว่างนวลไปทั้งร่างกาย ทั้งตัวของเขานั้นราวกับว่าไร้ซึ่งที่ติก็ไม่ปาน
เขาหรี่ดวงตาที่ลุ่มลึกและดำสนิทดุจน้ำหมึกนั้นลง ราวกับว่ามุมตาที่เรียวยาวของเขาปรากฏรอยยิ้มขึ้น
เฉินเสียนพูดขึ้นว่า : “ท่านมาอีกทำไม?”
“ใกล้จะเที่ยงแล้ว ข้ามาทานมื้อเที่ยง”
ซูเซี่ยนลุกขึ้นจากขอบระเบียงทางเดินอย่างรู้เรื่อง เขาจัดระเบียบเสื้อผ้าตัวน้อยของตัวเอง พร้อมกับเดินออกไปอย่างใจเย็น พลางพูดขึ้นว่า : “ข้าจะให้คนไปจัดเตรียมอาหาร”
ครั้งนี้ซูเซี่ยนไปนานกว่าปกติ จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่กลับมา
เฉินเสียนรู้สึกทำตัวไม่ค่อยถูก เหมือนตัวเองทำอะไรผิดมายังไงอย่างงั้น แต่เมื่อนึกๆ ดูแล้ว เธอกลับรู้สึกว่าอาการลนลานทำตัวไม่ถูกเช่นนี้ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ทั้งๆ ที่เมื่อวานนี้เธอได้พูดชัดเจนไปแล้วว่าจะเป็นการนัดพบครั้งสุดท้าย และวันนี้จะเป็นการบอกลาอย่างเป็นทางการ
เมื่อเฉินเสียนนึกถึงเรื่องที่จะต้องบอกลาซูเจ๋อ ในใจของเธอก็หนักอึ้งขึ้นมาทันที รู้สึกว่าเขาไม่จำเป็นต้องมาเช้าขนาดนี้ เขามาสายกว่านี้ก็ได้นี่ จะมาวันพรุ่งนี้หรือวันมะรืนนี้ก็ยังได้ แม้จะมาบอกลาในวันที่เธอจะจากไปก็ไม่เห็นเป็นไร
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...