จากนั้นนางกำนัลก็ได้เข้ามาเชิญให้เสด็จไปทานพระกระยาหาร เฉินเสียนรีบหาข้ออ้างทิ้งซูเจ๋อและซูเซี่ยนไว้ แล้วตัวเองก็ได้รีบหนีออกมาทันที
ที่ลานสวนของเหลียนชิงโจวและเฮ่อโยว ทั้งคู่กำลังเตรียมจะทานอาหารเที่ยงกัน แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจู่ๆ เฉินเสียนก็วิ่งมาโผล่ที่ลานสวนของพวกเขา
เหลียนชิงโจวยิ้มอย่างอ่อนโยนพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ฝ่าบาท จู่ๆ เสด็จมาได้อย่างไรกันหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เฉินเสียนจึงตอบกลับไปว่า : “ข้ามาทานมื้อเที่ยง”
“คนเดียวนะหรือ?”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เฉินเสียนก็รู้สึกหดหู่ขึ้นมา เธอพูดขึ้นว่า : “นกพิราบเข้ายึดรังของนกกางเขนแล้ว ข้าจำเป็นต้องมาปรึกษาพวกเจ้าเสียหน่อย”
เหลียนชิงโจวและเฮ่อโยวหันมาสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “นกพิราบเข้าไปยึดรังของนกกางเขนอย่างไร? ท่านอ๋องรุ่ยมาที่เรือนของฝ่าบาทหรือ? ฝ่าบาทถึงได้แอบหนีออกมาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เฉินเสียนปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสองคนนี้ฉลาดเป็นอย่างมาก เพียงครู่เดียวก็สามารถเดาถูกได้
เธอพูดขึ้นด้วยอย่างครุ่นคิดและรู้สึกลังเลเล็กน้อยว่า : “วันนี้ข้าผิดปกติมากใช่หรือเปล่า? รู้สึกเหมือนโดนมนต์ดำยังไงอย่างงั้น ข้าสงสัยว่าท่านอ๋องรุ่ยเป็นคนทำไสยศาสตร์ใส่ข้า”
ทุกครั้งที่เธอเจอซูเจ๋อ ถึงได้ไม่มีแรงต่อสู้หรือขัดขืนใดๆ ทั้งสิ้น
เหลียนชิงโจวพูดขึ้นว่า : “ใครผูกก็ให้คนนั้นแก้ ฝ่าบาทสงสัยว่าท่านอ๋องรุ่ยเป็นคนทำไสยศาสตร์ใส่พระองค์ ก็ไม่ควรจะหลบหนี ควรจะไปหาเขาให้เขาอธิบายเรื่องนี้ให้กระจ่างพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่อโยวรีบพยักหน้าเห็นดีเห็นงาม พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “อีกอย่าง ฝ่าบาทดูไม่เหมือนผู้ที่จะให้นกพิราบมายึดครองรังนกกางเขนได้ง่ายๆ เช่นนี้ มันช่างน่าขายหน้าเสียนี่กระไร ฝ่าบาทควรจะกลับไปพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนพูดขึ้นว่า : “ไม่เป็นไร ข้าอยู่ทานอาหารกับพวกเจ้าให้อิ่มเสียก่อน”
เหลียนชิงโจวจึงพูดขึ้นว่า : “ข้าวจะเสวยตอนไหนก็ได้ ควรจะไปจัดการเรื่องนี้ก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
เฮ่อโยวก็ได้พูดขึ้นว่า : “ฝ่าบาทไม่ทรงกลัวว่าท่านอ๋องรุ่ยจะลงมนต์ดำกับพระตำหนักขององค์รัชทายาทจนต้องมนต์ไปด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เฉินเสียนเหลือบสายตามองไปที่ทั้งคู่อยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “วันนี้ทำไมพูดมากจัง?”
เวลานี้เอง ซูเจ๋อก็ได้สั่งให้นางกำนัลมาถามว่า : “ขออนุญาตเจ้าค่ะ จักรพรรดิแห่งต้าฉู่ได้ประทับอยู่ที่เรือนนี้หรือไม่ ฝ่าบาทอ๋องรุ่ยทรงรอจักรพรรดิแห่งต้าฉู่กลับไปเสวยพระกระยาหารอยู่เจ้าค่ะ”
เหลียนชิงโจวและเฮ่อโยวก็รีบหว่านล้อมเป็นการใหญ่ว่า : “ฝ่าบาท สถานการณ์โดยรวมสำคัญที่สุด ฝ่าบาทรีบเสด็จไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ ตรงนี้เราไม่ได้จัดเตรียมอาหารในส่วนของพระองค์”
ซูเจ๋อส่งคนมาเชิญแล้ว ทั้งคู่ไม่กล้าให้เฉินเสียนอยู่ต่ออย่างแน่นอน จึงรีบพากันเชิญเธอกลับไป ดูจากสภาพของเย่ซวิ่นเมื่อคืนนี้ พวกเขาไม่โง่จนกล้ามาแย่งคนกับซูเจ๋ออย่างแน่นอน
ทั้งคู่พากันเชิญเฉินเสียนกลับไปราวกับกำลังอัญเชิญเทพเซียนก็ไม่ปาน จนสามารถเชิญเฉินเสียนออกไปได้ในที่สุด เฉินเสียนเองก็พอจะดูออก ว่าทั้งคู่นั้นกลัวว่าตัวเองจะโดนหางเลขไปด้วย
เฉินเสียนกลับไปที่เรือนของตัวเองอีกครั้ง ตอนนี้ซูเจ๋อและซูเซี่ยนได้นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารเป็นที่เรียบร้อย และยังไม่ได้แตะอาหารเลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งคู่ต่างก็รอเธออยู่
ซูเจ๋อเลิกคิ้วขึ้นสูง พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ท่านไปปรึกษากับพ่อค้าสองคนที่ท่านพามาด้วยนะหรือ?”
“อืม คุยเรื่องทางการ” เฉินเสียนเดินเข้านั่งลง
ซูเจ๋อยื่นมือไปตักซุปมาถ้วยหนึ่งให้เธอด้วยท่วงท่าที่สง่างาม นิ้วมือที่เรียวยาวกำลังจับถ้วยกระเบื้องสีขาว สองสิ่งนี้คอยช่วยเสริมส่งชูให้เด่นชัดขึ้น ขาวเนียนกระจ่างชัดเจน
เขาวางถ้วยซุปไว้ที่ข้างๆ มือของเฉินเสียน ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ทำไม พวกเขาไม่ได้เตรียมอาหารส่วนของท่านหรอกหรือ?”
พูดแล้วก็ช้ำใจเปล่าๆ เฉินเสียนจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หดหู่ว่า : “พวกเขาอยากให้ข้าอยู่ แต่ข้าไม่อยากอยู่เองต่างหาก”
“เพราะเหตุใด”
“รู้ทั้งรู้ว่าท่านอ๋องรุ่ยมาร่วมทานอาหารเที่ยงกับข้า แต่หากข้าติดธุระกลับมาไม่ได้ ท่านก็จะเข้าใจผิดคิดว่าข้ากลัวท่านโดยปริยาย”
“ที่แท้แล้วก็เป็นเช่นนี้นี่เอง” ซูเจ๋อมองไปที่เธอ พูดขึ้นอย่างใจเย็นว่า : “หากท่านยังจะไม่กลับมา ข้าก็คงจะนึกว่าท่านรู้สึกผิดจริงๆ”
เฉินเสียนกระตุกยิ้มขึ้นที่มุมปาก เธอไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย ทำไมจะต้องรู้สึกผิดด้วย
ซูเจ๋อคีบกับข้าวลงบนถ้วยของเธอและซูเซี่ยน เฉินเสียนและซูเซี่ยนจึงค่อยเริ่มทานอาหารกัน
ซูเซี่ยนทานอาหารอย่างสงบและอิ่มเอมใจ ปากเล็กๆ ของเขามันวาวเล็กน้อย และวันนี้เขาก็เจริญอาหารเป็นพิเศษอีกด้วย
เฉินเสียนเห็นท่านทางของเขาแล้ว ก็อดคิดถึงช่วงเวลาที่ทั้งสามพ่อแม่ลูกได้เคยนั่งทานข้าวด้วยกันในอดีตที่ผ่านมา เธอคอยคีบกับข้าวให้ซูเซี่ยน ซูเจ๋อก็คอยคีบกับข้าวลงไปในถ้วยของเธอ เหตุการณ์ขณะนี้เป็นเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด
เฉินเสียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ราวกับว่ากำลังย้อนกลับไปเมื่อในอดีต
ซูเจ๋อเห็นเธอจ้องมองอาหารด้วยความเหม่อลอย จึงพูดขึ้นเบาๆ ว่า : “รสชาติไม่ถูกปากหรือ? อยากทานอะไรบอกข้ามาได้” เขาคีบอาหารให้เธอโดยที่ไม่ได้ถามเธอเลย เขาเดาเอาเองทั้งนั้นว่าเธออาจจะชอบ
อาหารที่เขาคีบให้เธอล้วนแต่เป็นอาหารที่เธอชอบทานทั้งนั้น กลับกลายเป็นว่าเฉินเสียนเป็นคนตั้งตัวไม่ทันเสียเอง
เฉินเสียนส่ายหน้าเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ข้าจัดการเอง”
ซูเซี่ยนที่นั่งเงียบมาตลอด จู่ๆ ก็พูดเสริมขึ้นมาว่า : “อาหารที่ท่านคีบให้ ล้วนเป็นอาหารที่ท่านแม่ข้าชอบทั้งนั้น”
เฉินเสียนเหลือบไปมองซูเซี่ยน แล้วจึงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า : “ยามรับประทานไม่สนทนา ยามนอนไม่พูดคุย ทานข้าวดีๆ”
ซูเซี่ยนจึงทานอาหารต่ออย่างเหงาหงอย แต่ขาทั้งคู่ของเขาที่อยู่ใต้โต๊ะนั้นก็ยังแกว่งไปมาไม่หยุด
พูดถึงเย่ซวิ่น มายังอาณาจักรเป่ยเซี่ยหลายวันแล้ว ไม่ค่อยเห็นออกมาเที่ยวนอกวังบ้าง เขาเกลียดซูเจ๋อเข้ากระดูกดำเลยเชียว เพราะมีคนคอยเข้ามาตรวจค้นในเรือนที่เขาพักทั้งคืน จนเขาไม่เป็นอันหลับอันนอน พอมากลางวันก็อ่อนล้าไม่กระปรี้กระเปร่า ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถมาวนเวียนอยู่ข้างๆ เฉินเสียนได้
สถานการณ์ตอนนี้ ซูเจ๋อจึงเป็นผู้ยึดครองเฉินเสียนแต่เพียงผู้เดียว
เย่ซวิ่นจะทำใจยอมรับได้อย่างไรกัน ในเมื่อจุดประสงค์ที่เขามาในครั้งนี้ ไม่ได้มาเพื่อช่วยเฉินเสียนประชดหรือยั่วโมโหซูเจ๋อจริงๆ เสียหน่อย เขาตั้งใจจะแยกเฉินเสียนและซูเจ๋อออกจากกันอย่างสิ้นเชิงต่างหาก
สองสามวันมานี้ กลางวันและกลางคืนของเขาถูกสลับสับเปลี่ยนมั่วไปกันหมด กลางคืนไม่ได้นอนดีๆ กลางวันจึงต้องนอนพักผ่อน ดังนั้นเมื่อถึงเวลาค่ำคืน แต่ละคนจึงตาสว่างและกระปรี้กระเปร่าเป็นอย่างมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...