เมื่อยามท้องฟ้าเปลี่ยนสีค่อยๆกลายเป็นสีดำ ซูเซี่ยนกับองค์หญิงจาวหยางยืนอยู่ด้านนอกเรือน
พรุ่งนี้เป็นวันออกเดินทาง แม้ว่าองค์จักรพรรดิจะทำใจไม่ได้เรื่องซูเซี่ยน แต่ทว่าก็จนปัญญาทำอะไรไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ช่วงเย็นเลยจัดเตรียมงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการขึ้น เชื้อเชิญขุนนางเป่ยเซี่ยมาร่วมงาน แสดงออกให้เห็นว่าเคารพให้เกียรติองค์จักรพรรดิแห่งต้าฉู่และองค์รัชทายาท
ตอนนี้อากับหลานยิ่งปล่อยวางจิตใจไม่ลง เลยมาดูเฉินเสียน
เฉินเสียนเคลื่อนไหวร่างกายที่แข็งทื่อ ลุกขึ้นช้าๆ และสะบัดกระโปรงเดินออกมา มองดูท้องฟ้าแล้วกล่าวว่า “อีกหนึ่งชั่วโมงงานเลี้ยงจะเริ่มแล้วใช่หรือไม่ ข้าไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งกายสักครู่นะ”
เธอพูดออกนอกเรื่องแล้วคว้ามือของซูเซี่ยนขึ้น และกล่าวถามเรื่องตัวเองว่า “ตอนนี้ข้าเป็นเยี่ยงนี้ หากไม่สะสางให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เกรงว่าจะไร้หนทางออกไปพบปะผู้คนแล้ว”
ซูเซี่ยนกอบกุมมือของเฉินเสียนแน่น กล่าวตอบกลับว่า “ได้ ต้องสวมใส่ที่สวยๆสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงจาวหยางมองสองแม่ลูกที่เดินอยู่ด้านหน้า แผ่นหลังของคนตัวโตกับคนตัวเล็กเข็มแข็งและทรหดเป็นอย่างมาก นางอย่างเอ่ยปากปลอบประโลมสักหน่อย แต่ทว่าไร้หนทางที่จะพูดออกมา
เฉินเสียนเดินและกล่าวกับซูเซี่ยนว่า “อาเซี่ยน ท่านพ่อของเจ้าถูกแม่ทำให้ตกใจจนวิ่งเผ่นไปแล้วใช่หรือไม่? เขาไม่กลับมาอีกแล้วใช่หรือไม่?”
ซูเซี่ยนกล่าวว่า “ไม่หรอกท่านแม่ เขาอยากวิ่งเผ่นก็วิ่งไปตั้งนานแล้ว”หยุดไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวอีกว่า “ต้องมีเรื่องอันใดที่ทำให้เสียเวลาเป็นแน่ ”
เฉินเสียนยิ้มอย่างกล้ำกลืนกล่าวว่า “เปรียบเทียบแล้วว่าเขาเลือนหายไปอย่างกะทันหัน คล้ายกับว่าข้ายิ่งกังวลใจในความปลอดภัยของเขา เจ้าว่าเขาไม่ใช่พบเจ้าอันตรายแล้วหรือ?เอาอย่างนี้ไหมรอหลังจากงานเลี้ยงผ่านไป ข้าค่อยออกไปตามหาเขา?”
ซูเซี่ยนดึงมือเฉินเสียนแน่น กล่าวว่า “องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยได้ส่งคนออกไปสืบเสาะหาแล้ว ได้ยินมาว่าท่านพ่อพาผู้ติดตามไปด้วย น่าจะไม่มีอันตรายใดหรอก”
“เขาไม่มีอันตรายก็ดี”
ซูเซี่ยนเงยหน้าพร้อมกับกล่าวแฝงไปด้วยความอ้อนวอนว่า “ท่านแม่ รอท่านพ่ออีกหน่อยไม่ได้หรือ?”
เฉินเสียนกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “รอไม่ไหวแล้ว ไม่รอแล้ว”
นี่เป็นอาณาบริเวณของเป่ยเซี่ย ต่อให้องค์จักรพรรดิไม่ได้อยากแตะต้องพวกเธอสองแม่ลูก ในเป่ยเซี่ยมีบุคคลอื่นแทบอยากจะให้สองแม่ลูกตาย ในเมื่อมีคนลงมือเงียบๆลับๆแล้ว สถานที่นี้ก็ไม่ควรที่จะอยู่นานๆอีก
ซูเซี่ยนเชื่อว่าท่านพ่อของเขาไม่มีทางไม่กล่าวอำลาเยี่ยงนี้ ต้องมีสิ่งใดที่ทำให้เสียเวลาเป็นแน่ วันนั้นท่านพ่อสัญญารับปากด้วยตนเอง ว่าจะไม่มีทางปล่อยมือท่านแม่ของเขาอีก เขารู้สึกมาโดยตลอดว่า มีบางเรื่อง ไม่ว่าจะดีหรือว่าเลวร้าย ถึงอย่างไรก็อยากที่จะฟังฝ่ายตรงข้ามพูดออกมาด้วยตนเอง
แต่เมื่อผ่านค่ำคืนนี้ไปแล้ว ท่านแม่ของเขาต้องการจะไป หากท่านพ่อยังไม่กลับมาก็มาไม่ทันการณ์แล้ว ซูเซี่ยนคิด รอจนงานเลี้ยงพระราชวังจบสิ้น ท่านพ่อของเขายังไม่กลับมา เขาจำใจต้องนำสิ่งที่เขารู้มาบอกกล่าวแก่ท่านแม่ของเขาแล้วล่ะ
สิ่งที่องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเสียดายนั่นคือ ใกล้ถึงเวลาที่ซูเซี่ยนจะต้องแยกจากไปแล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ยินยอมที่จะเรียกพระองค์ว่าท่านปู่ และยิ่งทำให้พระองค์รู้สึกอึดอัดก็คือ อาเซี่ยนเรียกองค์หญิงจ้าวเสียนว่า “ท่านอา”และเรียกท่านอ๋องมู่ว่า“ปู่น้อย”อย่างราบรื่นและเชื่อฟังดี
ขุนนางของเป่ยเซี่ยเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ย กล่าวว่า “ฝ่าบาท องค์จักรพรรดิแห่งต้าฉู่มาเยี่ยมเยือน ไม่คุยเรื่องบ้านเมือง มันไม่เสียโอกาสที่ดีอย่างไรกัน ปัญหาการค้าขายบริเวณฝั่งชายแดนของทั้งสองเมืองยังไม่ได้รับการแก้ไข อีกทั้งต้าฉู่มีแนวโน้มทิศทางสัมพันธ์ที่ดีกับเย่เหลียง เกรงว่าอนาคตจะยิ่งไม่เอื้อผลต่อเป่ยเซี่ย เหตุใดเวลานี้ฝ่าบาทถึงไม่ถือโอกาสย้อนคืนสัมพันธ์เก่าแล้วกลับไปดีกันเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยคิด หากเฉินเสียนมีใจที่อยากจะคืนดีกับเป่ยเซี่ย เมื่อสมัยนั้นก็ไม่มีทางใช้อำนาจคุกคามเป่ยเซี่ยเยี่ยงนั้นหรอก อย่างไรองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยก็ไปคนปฏิเสธผลักไสเธอออกไปด้านนอกก่อน
ขุนนางของเป่ยเซี่ยส่วนใหญ่รู้เบื้องหลังความสัมพันธ์ของทั้งสองเมืองที่หยุดชะงักมาจนถึงจุดนี้ ได้กล่าวเกลี้ยกล่อมว่า“ผลประโยชน์ของบ้านเมือง หวังว่าฝ่าบาทจะมองภาพรวมเป็นสำคัญพ่ะย่ะค่ะ หากยากที่ฝ่าบาทจะเอ่ยปาก ก็ให้เหล่าขุนนางในงานเลี้ยงพูดเกี่ยวกับเรื่องเจริญสัมพันธไมตรีของทั้งสองเมืองกับองค์จักรพรรดิแห่งต้าฉู่ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยโบกสะบัดมือ แล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าหาวิธีการทำเถิด”
ถ้าหากจักรพรรดิแห่งต้าฉู่ยังยินยอม นี่ก็เป็นเรื่องดีสำหรับเป่ยเซี่ย องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยไม่มีทางรักษาหน้าตนเองโดยไม่รักษาผลประโยชน์ของบ้านเมืองหรอก
เฉินเสียนกลับมาที่เรือนที่ตนเองพักอาศัยอยู่ หลังจากอาบน้ำเสร็จ ก็ได้สวมใส่ชุดยาวเสื้อคอตั้งเก็บทรงเอว ขับให้เรือนร่างของเธอเล็กยาวชะลูด สะอาดสะอ้านเป็นระเบียบ ผมที่ยาวสลวยนั่นได้ม้วนเก็บขึ้น บนผมปักด้วยปิ่นหยกขาว คิ้วขมวดเล็กน้อย บุคลิกองอาจผึ่งผายกดดันผู้คนอย่างมาก
นี่เป็นชุดที่เธอสวมใส่ตอนที่เธอตามซูเซี่ยนมาจากเรืออีกลำหนึ่ง เธอปล่อยวางตัณหาราคะที่มากเกินไปลง และวันนี้เธอเป็นจักรพรรดิแห่งต้าฉู่
หลังจากที่ฟ้ามืด เฉินเสียนจูงมือซูเซี่ยน และพาคนของตนเองเข้าไปงานเลี้ยงบนท้องพระโรง
เวลานี้องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยและขุนนางของเป่ยเซี่ยได้นั่งตามตำแหน่งของแต่ละคนแล้ว
หลังจากเข้าไปในท้องพระโรง เฉินเสียนกับซูเซี่ยนนั่งอยู่หน้าโต๊ะ เย่ซวิ่นนั่งอยู่อีกโต๊ะด้านข้างเธอ สองสามวันไม่ได้พบเจอกัน เย่ซวิ่นมีความรู้สึกหวาดกลัวสองแม่ลูกนี้บ้างเล็กน้อย กังวลว่าเพราะเรื่องครั้งก่อนพวกเขาจะก่อกบฏกับเขา
แต่ทว่าแม้แต่มองเธอยังไม่มองเขาเลย ทำให้เขารู้สึกเหงาเปล่าเปลี่ยนหมดสนุก
ขุนนางของเป่ยเซี่ยไม่กล้าที่จะชวนเฉินเสียนดื่มเหล้า ต่างทยอยมายื่นให้เหลียนชิงโจว เฮ่อโยวดื่มด้วยความนอบน้อม เย่ซวิ่นก็ดื่มไปจำนวนหนึ่ง
บนโต๊ะของเฉินเสียนตั้งแต่ต้นจนจบเป็นชาหนึ่งถ้วย
ประมาณรสชาติของการดื่มเหล้าเมามาย เธอไม่อยากจะไปลิ้มลองมันอีกแล้ว ต่อไปก็ไม่มีใครที่จะปกป้องเธอเมื่อตอนที่เธอเมามายแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...