ข้าคือหงส์พันปี นิยาย บท 700

สรุปบท บทที่ 700 ท่านบอกว่าบ้า เช่นนั้นก็บ้าแล้วแหละ: ข้าคือหงส์พันปี

ตอน บทที่ 700 ท่านบอกว่าบ้า เช่นนั้นก็บ้าแล้วแหละ จาก ข้าคือหงส์พันปี – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 700 ท่านบอกว่าบ้า เช่นนั้นก็บ้าแล้วแหละ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายInternet ข้าคือหงส์พันปี ที่เขียนโดย เฉียน หราน จวิน เสี้ยว เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

สายตาของเขาไม่หลบเลี่ยงเลยแม้แต่น้อย และมองเฉินเสียนอย่างลึกซึ้งมาโดยตลอด

บรรยากาศบนท้องพระโรงกดดันเป็นอย่างมาก องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเลยเอ่ยปากกล่าวถามก่อน “ไม่กี่วันมานี้ท่านอ๋องรุ่ยไปไหนหรือ?”

ซูเจ๋อมองเฉินเสียนแล้วกล่าวตอบว่า “ไปล่าสัตว์พ่ะย่ะค่ะ”

เฉินเสียนแสยะริมฝีปากเยาะเย้ยขึ้น

เป็นอย่างที่คิดไว้ สองวันมานี้ที่รอเขากลับมาอย่างเหน็ดเหนื่อย สุดท้ายคล้ายดั่งเป็นเรื่องตลก

โดยคร่าวๆแล้วเขาไม่ได้สนใจว่าตนเองรอเขาอยู่หรือไม่

ต่อมาเหลียนชิงโจวได้เคลื่อนย้ายเหล้ามาบนท้องพระโรง แต่ละไหตั้งเรียกรายอยู่บนท้องพระโรง ตามด้วยนางกำนัลแบ่งใส่กาเล็ก ส่งมอบไปตั้งบนโต๊ะขององค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยและขุนนาง

เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดเรื่องไม่ดี นางกำนัลที่อยู่ข้างกายองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยได้ใช้เข็มเงินจุ่มลงไปในเหล้าเพื่อทดสอบ ไม่มีพิษ

เหลียนชิงโจวชูจอกขึ้นเคารพคารวะทุกคน หลังจากที่เหล้าจอกหนึ่งลงไปในท้องแล้ว เหล่าขุนนางของเป่ยเซี่ยกล่าวชื่นชมเป็นเสียงเดียวกันว่า “เป็นเหล้าที่ดีจริงๆ!”

แน่นอนว่าเป็นเหล้าที่ดี มองดูพวกเขาดื่มไปเท่าไหร่แล้ว เมื่อก่อนเฉินเสียนดื่มเหล้าของเหลียนชิงโจวแล้วเคยเสียเปรียบด้วย

เหลียนชิงโจวกล่าวอย่างอบอุ่นว่า “เหล่าใต้เท้าทั้งหลายชื่นชอบก็ดื่มให้มากสักหน่อย”

เฉินเสียนมองเหล้าที่เต็มจอกวางอยู่บนโต๊ะ แม้ว่าเธออยากจะลิ้มลองรสชาติของเหล้าเก่าแก่นี่สักหน่อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้สัมผัส ยกเพียงแค่ถ้วยน้ำชาขึ้น กล่าวกับเฮ่อโยวว่า “หากวันนี้พวกเจ้าสามารถทำให้ฝั่งตรงข้ามเมาล้มคว่ำได้ กลับไปต้าฉู่ข้าจะรางวัลให้อย่างมากมาย”

ผลสรุปหลังจากที่ผลักจอกแลกถ้วยกัน มีขุนนางเป่ยเซี่ยส่วนหนึ่งได้เมามายไม่ได้สติไปแล้ว และยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ยืนหยัดดึงสติไว้อยู่

แน่นอนว่าการเข้าสังคมคบค้าสมาคมของเหลียนชิงโจวนั้นมีทักษะที่เยี่ยมยอด ความสามารถในการดื่มเหล้าก็ล้ำเลิศ ตอนที่ฝั่งตรงข้ามเริ่มลิ้นคับปากพูดไม่ชัด เขายังคงมีสติดังเดิม และหรี่สายตาจิ้งจอกคู่นั้นมอง

ขุนนางของเป่ยเซี่ยอดกลั้นไว้ไม่ไหวแล้ว ในที่สุดก็พูดถึงเรื่องการมาคืนดีปรองดองกันของต้าฉู่กับเป่ยเซี่ย

ในมือของเฉินเสียนเล่นถ้วยชาอยู่ กล่าวอย่างพิจารณาไตร่ตรองแล้วว่า “เจริญสัมพันธไมตรีกับเป่ยเซี่ย ต้าฉู่ของข้าจะได้รับคุณประโยชน์อันใด?”

ประโยคเดียวทำให้ขุนนางเป่ยเซี่ยหยุดนิ่งไป

ขุนนางเป่ยเซี่ยรีบตั้งสติ กล่าวตอบว่า “ทั้งสองเมืองมีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน ต่างฝ่ายต่างแลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนไม่มี นี่เป็นการทำสิ่งที่ดีต่ออาณาประชาราษฎร์ของทั้งสองเมือง หากพูดว่ามีคุณประโยชน์อะไรที่ดี นั่นแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่อาณาประชาราษฎร์สนับสนุน โหยหาปรารถนาให้ผนึกรวมกัน เพียงแค่อาณาประชาราษฎร์สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมีความสุข ก็เป็นคุณประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ”

เฉินเสียนฟัง แล้วกระตุกริมฝีปากขึ้น กล่าวว่า “หลังจากที่อาณาประชาราษฎร์ต้าฉู่ของข้าไม่ได้ต่างฝ่ายต่างแลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนไม่มีแล้วนั้น ยังคงสงบมีความสุขเหมือนเดิม ไม่มีเรื่องที่ต้องกังวลใจพะว้าพะวัง แต่หลังจากที่สัมพันธไมตรีของต้าฉู่กับเย่เหลียงดีแล้ว อาณาประชาราษฎร์ของทั้งสองเมืองแลกเปลี่ยนกันบ่อยมาก ส่งเสริมซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง ”

ขุนนางเป่ยเซี่ยกล่าวว่า “องค์จักรพรรดิแห่งต้าฉู่พักอยู่ที่เป่ยเซี่ยช่วงนี้ ก็เคยเห็นอาณาประชาราษฎร์ของเป่ยเซี่ยซื่อสัตย์สุจริตและสุภาพอ่อนโยนนุ่มนวล หรือว่าองค์จักรพรรดิแห่งต้าฉู่ไม่อยากเห็นเล่าอาณาประชาราษฎร์ของทั้งสองเมืองมีน้ำใจไมตรีรักใครฉันมิตรอย่างนี้ต่อไปหรือพ่ะย่ะค่ะ? เป่ยเซี่ยกับต้าฉู่เป็นสหายที่ช่วยเหลือและเอื้อผลประโยชน์ต่อกันนะพ่ะย่ะค่ะ”

เย่ซวิ่นตอบกลับว่า “เหล่าอาณาประชาราษฎร์เย่เหลียงของข้าซื่อสัตย์สุจริต มีน้ำใจไมตรีรักใคร่ฉันมิตรเป็นอย่างมาก เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างเมือง จะมีมิตรภาพตลอดไปที่ไหนกัน มีเพียงแค่ผลประโยชน์ตลอดไปหรอก”

เฉินเสียนหรี่ตามองแล้วชื่นชมเขาว่า “ข้าคิดว่าองค์ชายหกพูดถูกต้อง”

เย่ซวิ่นมีชีวิตชีวาขึ้นมาท่านที กล่าวอีกว่า “อีกทั้งอาณาประชาราษฎร์ของเป่ยเซี่ยซื่อสัตย์สุจริต แล้วเกี่ยวข้องอะไรกับต้าฉู่? ข้ามองว่าเป็นเพราะองค์จักรพรรดิแห่งต้าฉู่ปิดกั้นการค้าขายของทั้งสองเมือง ทำให้สินค้าของเป่ยเซี่ยขยับเคลื่อนไหวไม่ได้ และสินค้าของต้าฉู่เข้าไปไม่ได้อีก ยากที่จะทำให้เป่ยเซี่ยได้รับผลประโยชน์? ข้าได้ยินมาว่าเป่ยเซี่ยของพวกท่านมีสถานที่จำนวนไม่น้อยเลยที่เลี้ยงแกะเลี้ยงวัว หลังจากไหลเวียนถ่ายเทกับต้าฉู่น้อยลง ทำให้มีผลกระทบค่อนข้างมาก”

ขุนนางเป่ยเซี่ยกล่าวด้วยความร้อนใจว่า “องค์ชายหกกำลังยุแหย่ ทนเห็นเป่ยเซี่ยกับต้าฉู่เจริญสัมพันธไมตรีกันไม่ได้ แต่ทั้งสองเมืองมีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน มีความลึกซึ้งกันมาตั้งแต่อดีตแหล่งที่มามีบรรพบุรุษเป็นหลักฐานยืนยัน”

เย่ซวิ่นกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “บรรพบุรุษเป็นหลักฐานยืนยันอะไร พูดมาฟังสิ”

เป็นไปอย่างที่คิดขุนนางเป่ยเซี่ยพูดอย่างคล่องแคล่วว่า “ที่ผ่านมาก็มีการเกี่ยวดองกันคือองค์หญิงเหวินเฉิงแต่งมาที่ต้าฉู่ เป็นแบบอย่างที่ดีของทั้งสองเมืองตลอดไป องค์หญิงเหวินเฉิงเป็นพระธิดาบุญธรรมขององค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ย ยิ่งกว่านั้นเป็นเสด็จแม่แท้ๆขององค์จักรพรรดิแห่งต้าฉู่ เมื่อสมัยนั้นต้าฉู่เกิดความวุ่นวายภายใน หากไม่ใช่องค์จักรพรรดิของข้าตั้งทัพบริเวณชายแดนเพื่อทำให้พวกทหารที่ก่อความวุ่นวายในต้าฉู่เกรงกลัว จะมีองค์จักรพรรดิแห่งต้าฉู่ที่ประสบผลสำเร็จอย่างวันนี้มาได้อย่างไร? พอกล่าวมาเช่นนี้ ต้าฉู่กับเป่ยเซี่ยช่วยเหลือเอื้อผลประโยชน์ซึ่งกันและกันมาโดยตลอด ประคับประคองซึ่งกันและกัน ตอนนี้การคืนดีปรองดองกันเป็นการสืบสานอดีตที่เป็นมา ทั้งสองเมืองมีเพียงประโยชน์ไม่มีการทำร้ายกันพ่ะย่ะค่ะ”

เย่ซวิ่นนำหัวข้อสนทนามาถึงขั้นนี้ เขายิ้มเจ้าเล่ห์เป็นอย่างมาก กล่าวว่า “อ้อ เจ้าไม่พูดข้าก็ลืมเลย องค์จักรพรรดิแห่งต้าฉู่ยังมีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกันเช่นนี้กับองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยอยู่ด้วย หากไม่ว่ากันตามฐานะขององค์จักรพรรดิของทั้งสองเมือง อิงตามการนับรุ่นในวงเครือญาติ องค์จักรพรรดิแห่งเป่ยเซี่ยน่าจะเป็นพระอัยกาขององค์จักรพรรดิแห่งต้าฉู่สินะ?”

ขุนนางเป่ยเซี่ยกล่าวอย่างมั่นใจว่า “แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”

เย่ซวิ่นมองไปทางซูเจ๋อที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างชอบใจ เขาไม่สบายใจเป็นอย่างมากกับสายตาที่ซูเจ๋อมองเฉินเสียนอยู่ตลอดเวลา กล่าวอีกว่า “เช่นนั้นท่านอ๋องรุ่ยเป็นลูกชายแท้ๆขององค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ย ตามการนับรุ่นในวงเครือญาติก็เป็นน้าขององค์จักรพรรดิแห่งต้าฉู่นะสิ? น้าจ้องมองหลานสาวอยู่ตลอด ไม่เหมาะสมใช่หรือไม่?”

เฉินเสียนหลุบตาขึ้น สบตากันกับซูเจ๋อชั่วประเดี๋ยวเดียว เลิกคิ้วขึ้นแล้วกล่าวถามว่า “บนใบหน้าของข้ามีสิ่งใดหรือ?”

เย่ซวิ่นตั้งใจมองใบหน้ของเธอเช่นกัน กล่าวว่า “ไม่มีนะ วันนี้น่าจะเป็นเพราะองค์จักรพรรดิแห่งต้าฉู่มองซ้ำไปซ้ำมาแล้วไม่เบื่อ”

เฉินเสียนหัวเราะเยาะเย้ยขึ้น

บนใบหน้าของซูเจ๋อไม่มีอารมณ์แสดงออกมา งอนิ้วกอบกุมจอกเหล้าเปล่าที่อยู่บนโต๊ะแล้วเคาะสองครั้ง นางกำนัลที่อยู่ด้านข้างยกกาเหล้ามาด้านหน้า แล้วเทเหล้าลงไปในจอกให้กับเขา

เฉินเสียนเห็นนิ้วมือเรียวขาวสะอาดของเขายกจอกเหล้าขึ้น ใบหน้าที่มีรอยยิ้มอย่างเรียบเฉยก็เลือนรางจางหายไป

ตอนที่น้ำเหล้าเข้าไปในปาก เฉินเสียนยังได้ยินเสียงของตนเองกำลังกล่าวว่า “ท่านอ๋องรุ่ยป่วยหนักเพิ่งจะหาย ดื่มเหล้าแล้วเหมาะสมหรือ?”

ซูเจ๋อกล่าวว่า “มิเป็นไร เหมาะสมที่จะดื่มเหล้า สามารถหมุนเวียนเลือดพลังในร่างกายไม่ติดขัด”

แต่เธอจำได้ว่าเขาไม่ดื่มเหล้า ในเมื่อเขาไม่ชอบ เหตุใดยังต้องไปสัมผัสมัน?

แต่บางทีอาจเป็นเมื่อก่อนไม่ชอบ ตอนนี้ชอบแล้ว

ครั้นแล้วเฉินเสียนเลยกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าใช้ชาแทนเหล้า อวยพรให้ท่านอ๋องรุ่ยหายเป็นปกติในเร็ววัน”

ซูเจ๋อเทเหล้าลงจอกที่สอง แต่ทว่าเลิกคิ้วกล่าวว่า “ใช้ชาแทนเหล้า?ข้าจำได้ว่าองค์จักรพรรดิแห่งต้าฉู่ดื่มเหล้า”

เฉินเสียนหัวเราะ แล้วกล่าวว่า “ตอนที่อยู่คนเดียว ไม่ดื่มเหล้า”

“ตอนที่อยู่คนเดียวหรือ”นิ้วมือของซูเจ๋อชะงัก ทันทีหลังจากนั้นยกจอกเหล้าขึ้น น้ำเหล้าลงคอ เขากล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “เหล้านี้รสชาติไม่เลวนะ”

แต่ทว่าเฉินเสียนมองแล้วเจ็บปวดหัวใจ เธออดไม่ได้ที่จะนึกถึงเมื่อก่อนตอนที่เธอปกป้องไม่ให้คนอื่นบีบบังคับเขาดื่มเหล้ามอมเหล้าเขา เธอรักและคำนึงถึงร่างกายของเขา รักและคำนึงถึงความชอบของเขา แล้วเหตุใดเขาถึงไม่รักและคำนึงตนเอง?

ต่อมาเฉินเสียนเห็นเขาพัวพันตอแยไม่หยุด รู้หากว่าหากไม่แข็งแกร่งสักหน่อยนั้นก็หลุดออกจากเขาไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้เลยเอาจริงเอาจัง มือสลับกันไปมา อยู่ในขอบเขตบริเวณโต๊ะเล็ก มีการใช้ฝ่ามือกำปั้นเกิดขึ้น

น่าขบขันนะ ชายผู้นี้ สูญเสียความทรงจำก็สูญเสียไปแล้ว แต่ทว่าฝีมือการต่อสู้ไม่ได้เลือนหาย

แรงกำลังและการเคลื่อนไหวบนมือของเขา หยุดยั้งเธอได้ทุกที่

เห็นอาหารบนโต๊ะยิ่งมีการสั่นสะเทือนมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้ค่อยๆดึงดูดสายตาของผู้คนบนท้องพระโรง มองการเคลื่อนไหวบริเวณโต๊ะที่ไม่มีทีท่าจะหยุดอยู่อย่างเงียบๆไร้การเปล่งเสียงออกมา

จนถึงตอนสุดท้าย ฉับพลันพลังแรงที่ไม่สามารถควบคุมได้ คิดไม่ถึงว่าทั้งสองคนนี้จะทำให้โต๊ะที่อยู่ด้านหน้าพลิกคว่ำลง

คนหนึ่งเก็บงำซ่อนไว้อย่างมิดชิด คนหนึ่งโมโหจนจะระเบิดออกมา

เฉิยเสียนหัวเราะแล้วมองซูเจ๋อ หางตาแดงก่ำ กัดฟันกรอดกล่าวว่า “เป็นข้าที่คิดไม่ถึง คิดไม่ถึงว่าท่านอ๋องรุ่ยจะไร้เหตุผลเยี่ยงนี้”

ซูเจ๋อกล่าวว่า “วันนี้เพิ่งจะมาทำให้ท่านพบเจอได้ ข้าก็เสียใจอย่างมาก”

เฉินเสียนกล่าวว่า “ทุกคนมองอยู่ อย่างไร ท่านจะจับข้าไม่ปล่อยถึงเมื่อไหร่?”ในดวงตาของเธอดื้อรั้น ยั่วยุซูเจ๋อโดยการกระตุกริมฝีปากแดงฉ่ำแล้วหัวเราะ กล่าวว่า “หรือว่าต้องการให้ข้าเรียกท่านอ๋องรุ่ยว่าน้าจริงๆ ท่านอ๋องถึงจะยอมวางมือยุติเรื่องราวใช่หรือไม่? ”

ซูเจ๋อหรี่ตามอง แววตาอึมครึมมองเธอ ไม่รู้เป็นแสงไฟสาดสะท้อนหรือว่าภายใต้แววตาของเขานั้นมีเปลวไฟปะทุขึ้นมา ราวกับว่าช่วงเวลาถัดไปก็จะแผดเผาลุกโชนขึ้นมา นำเธอกลืนกินเข้าไป

ซูเจ๋อกล่าวเสียงทุ้มต่ำแหบพร่าว่า “ท่านกล้าเรียกก็ลองดู”

เฉินเสียนยิ้มเยาะเย้ย กล่าวว่า “นี่ ข้าทำไมจะไม่กล้า ท่านอ๋องรุ่ยคิดว่าข้ากลัวท่านหรือ ”เธอจ้องมองแววตาของเขา เธอรวบรวมกำลังแสนยานุภาพทั้งหมดของตนเองขึ้นมา ไม่อยากให้เขาเห็นตนเองอ่อนแอแม้แต่น้อยอีกแล้ว เธอเผยอริมฝีปากเล็กน้อย ยิ้มแล้วกล่าวว่า “น้า.…....”

แต่ทว่า พูดออกมาได้แค่คำเดียว ท้องพระโรงก็เงียบวังเวง ตามมาด้วยเสียงหอบแฮกเป็นระยะ

คำที่เหลือนั้น เฉินเสียนพูดไม่ออก เธอพยายามออกแรงเบิกตาจ้องมอง แม้ว่าจะเป็นคำพูดที่ตัดสินใจแน่แน่วแล้ว สุดท้ายก็ถูกซูเจ๋อนำทั้งหมดอุดไว้ในลำคอ

เธอแข็งทื่อทั้งตัว

คิดไม่ถึงว่าซูเจ๋อจะเปิดเผยต่อสาธารณะชนคนมากมายเช่นนี้ เขาเอนเอียงตัวมาทันที ใช้มือข้าหนึ่งจับประคองท้ายทอยของเฉินเสียน ก้มศีรษะเอียงลงปลายจมูกเธอ แล้วจูบอย่างดื่มด่ำดุเดือดบ้าคลั่ง

ขุนนางทั้งหมดของเป่ยเซี่ยตะลึงงันแข็งทื่อราวกับหุ่นไก่ แม้แต่องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยที่อยู่บนบัลลังก์มังกรยังตะลึงงันอยู่เนิ่นนานจนพูดไม่ออก

คล้ายดั่งว่าเฉินเสียนใช้แรงกำลังทั้งหมดที่มี ถึงผลักเขาออกได้ กล่าวออกมาด้วยน้ำสั่นเครือว่า “ท่านบ้าไปแล้วหรือ!”

จนกระทั่งมือที่สั่นเทาไม่มีแรงของเธอลูบสัมผัสกลิ่นอายบริเวณริมฝีปากที่เขาฝากฝัง และก็ถูกซูเจ๋อจับไว้

ซูเจ๋อออกแรงดึงให้เธอลุก นิ้วมือเรียวยาวจับที่ข้อมือของเธอแน่น แล้วลากเธอออกไปด้านนอกท้องพระโรง กล่าวว่า “ท่านบอกว่าบ้า เช่นนั้นก็บ้าแล้วแหละ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี