สายลมจากด้านนอกพัดเข้ามายังท้องพระโรง จึงทำให้ชายเสื้อสีดำของเขาลอยขึ้น แสงพระจันทร์ที่เจิดจ้าบนศรีษะไม่สามารถหลอมละลายแสงยามราตรีนัยน์ตาของเขาได้
กว่าที่คนในท้องพระโรงจะรู้สึกตัวกลับมา ทั้งสองคนก็ได้หายไปจากท้องพระโรงแล้ว และไม่มีใครรู้ว่าทั้งสองคนไปยังที่ใด
เฉินเสียนถูกซูเจ๋อลากตัวไปตลอดทาง เธอไม่ได้ไปด้วยความเต็มใจ แต่ก็ต้องก้าวเท้าเดินโซเซตามเขาไป
เธอโกรธมาก และรู้สึกได้ว่าตัวเองนั้นไม่ได้โกรธแบบนี้มานานมากแล้ว
เฉินเสียนกล่าว “ท่านทำแบบนี้แล้วมันได้อะไร ท่านจงใจที่จะกลับมาถึงค่ำคืนนี้ เพราะรู้ว่าพรุ่งนี้ข้ากำลังจะไป ดังนั้นท่านจึงรีบกลับมาเพื่อมาหัวเราะเยาะข้าใช่หรือไม่?”
“อันที่จริงแล้วให้ท่านเห็นก็ไม่ได้เป็นอะไร ถึงอย่างไรก็เป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว”
“แล้วตอนนี้ท่านกำลังจะทำอะไรล่ะ?ท่านจะพาข้าไปที่ใดกันแน่?”
ซูเจ๋อกล่าวเสียงต่ำ“ไปในที่ที่ไม่มีคน เพื่อที่เราสองคนจะได้พูดคุยกันดีๆ ”
เฉินเสียนก็เริ่มมีปากเสียง กล่าวอย่างดื้อรั้นว่า“ข้าสามารถพูดคุยกับท่านดีๆได้ แต่ไม่จำเป็นต้องไปหาที่ที่ไม่มีคน ท่านปล่อยข้าก่อน”
เธอยอมรับว่าตัวเองนั้นก็คับแค้นใจอยู่เล็กน้อย เพราะว่าคนคนนี้มักจะชอบให้ความหวังกับเธอ แต่เมื่อเธอได้โอบกอดความหวังนั้นไว้แล้ว เขาก็มักตบเธอกลับมาอย่างโหดเหี้ยม
ความรู้สึกเช่นนั้นมันเจ็บปวดมาก
ถ้าเกิดคืนนี้เขาไม่กลับมา บางทีเธออาจจะเดินจากไปอย่างสง่าผ่าเผยและสมเกียรติยศก็ได้ แต่เขาก็ได้กลับมาในช่วงวินาทีสุดท้าย จึงทำให้ตัวเธอนั้นรู้สึกว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก
ซูเจ๋อไม่ยอมปล่อยและไม่สนว่าเธอจะยิมยอมหรือไม่ ครั้งนี้อย่าได้เพ้อคิดฝันว่าเขาจะปล่อยเธอไป
เฉินเสียนยิ้มแล้วเอ่ยด้วยวาจาที่ยั่วยุว่า “ท่านไม่ชอบให้ข้าเรียกท่านว่าน้าใช่หรือไม่?ถ้าท่านยังไม่ยอมปล่อยข้า ข้าก็จะเรียกท่านอย่างนั้นต่อไป”
เฉินเสียนก็ตะโกนเรียกเขาว่าน้ามาตลอดทาง ทั้งสองคนเดินผ่านเข้าไปในทางเล็กๆอันมืดสนิทที่มีต้นไม้เรียงรายกันอยู่
ซูเจ๋อหยุดชั่วคราว แล้วก็เดินมุ่งตรงไปข้างหน้าต่อ เอ่ยขึ้นว่า“ท่านอย่ามายั่วยุข้า ไม่เช่นนั้นข้าก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับท่านบ้าง”
ในใจของเฉินเสียนนั้นก็รู้สึกได้ถึงความเป็นทุกข์อย่างที่สุด แต่ก็กลับเลิกคิ้วแล้วเอ่ยว่า “ทำไม ท่านจะฆ่าข้ารึ?”
“ข้าไม่สามารถฆ่าท่านได้ แต่ข้าสามารถกินท่านได้”
เมื่อสิ้นสุดคำพูดนั้น พลังแรงอันแข็งแกร่งก็ได้ลากเฉินเสียนเข้าไปในพื้นที่ป่าที่มืดสนิท และเมื่อเดินผ่านทะลุพื้นที่ป่าไปก็เจอกับกำแพงวังที่ซ่อนตัวอยู่ เธอพยายามต่อต้านแต่ก็ถูกซูเจ๋อลากเข้าไปที่กำแพงนั่น ด้านหลังของเธอแนบติดไปกับกำแพง ร่างกายสูงเพียวก็เอนพิงกดทับเข้ากับร่างของเธอ
ร่างกายของทั้งคู่นั้นแนบชิดติดกันแน่น ระยะของริมฝีปากที่ใกล้กันมาก จนทำให้เฉินเสียนนั้นรู้สึกหายใจไม่ค่อยออก
แววตาที่ลึกและเงียบของเขานั้นดูน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง เขาดื่มเหล้ามา เพราะกลิ่นอายของเหล้านั้นได้ผสมออกมากับลมหายใจของเขา
เมื่อซูเจ๋อเปิดปากพูด ก็ทำให้เขาสามารถสัมผัสกับริมฝีปากของเฉินเสียนได้อย่างพอดี เขาเอ่ยขึ้นเบาๆว่า “ถ้าท่านยังกล้าพูดขึ้นมาอีกสักคำ เชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถจะกินท่านได้ที่นี่?”
เฉินเสียนเงยหน้ามองเขา แล้วยื่นมือไปดันเขาออก แต่เขากลับไม่ขยับไปไหน เธอหายใจหอบแล้วพูดด้วยอารมณ์โกรธว่า“ท่านดื่มเหล้ามากไปแล้ว ปล่อยข้านะ!”
ซูเจ๋อจับไปที่ข้อมือทั้งสองของเธอแล้วกดลงไปบนกำแพง เขาก้มศรีษะลงไปจูบเพื่อปิดปากเธอ กึ่งลงโทษกึ่งจูบอย่างดุดัน
“ปล่อย……อือ……”เฉินเสียนพยายามบิดข้อมือเพื่อต่อสู้ จากนั้นแม้แต่คำพูดเดียวเธอก็ไม่ได้พูดมันออกมาได้ ร่างกายของเธอนั้นสั่นเทาไปทั้งตัว ซูเจ๋อก็ยังไม่ยอมปล่อยเธอ กลับจับข้อมือของเธอเอาไว้แน่นแล้วค่อยๆสัมผัสไปทีละนิ้ว จนสามารถจับกุมฝ่ามือของเธอไว้ได้ทั้งสองข้าง
ในช่วงเวลานั้นก็มีเสียงที่เกิดจากสายลมพัดขึ้นมาในพื้นที่ป่า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี
ชอบมากเรื่องนี้...