ข้าคือหงส์พันปี นิยาย บท 729

ฉินหรูเหลียงคิดว่าตัวเองนั้นได้พูดทุกอย่างออกมาอย่างชัดเจนแล้ว เมื่อตอนที่เขากำลังจะเดินจากไป จาวหยางก็ดึงชายเสื้อของเขาไว้แล้วพูดขึ้นว่า “เดี๋ยวก่อน”

ฉินหรูเหลียงพูดอย่างหมดความอดทนว่า“ท่านต้องการอะไรอีก?”

ใครจะคิดว่าทันทีที่สิ้นเสียงคำพูดนั้น จู่ๆจาวหยางก็เขย่งเท้าขึ้น ทำให้กลิ่นหอมสดชื่นของสาวน้อยนั้นลอยขึ้นปะทะที่หน้าเขา

เธอจูบไปที่ริมฝีปากบางของฉินหรูเหลียงด้วยท่าทางที่สะลึมสะลือ เป็นการจูบที่นุ่มนวลคล้ายกับแมลงปอที่โบยบินแตะอยู่บนผิวน้ำอย่างเบาๆ

ฉินหรูเหลียงนั้นตกตะลึงขึ้นมาทันที

จาวหยางกล่าว “ข้าจาวหยางไม่ใช่คนที่จะคอยตามตอแยท่านตลอดไป การจูบท่านเช่นนี้ ถือว่าเป็นสิทธิที่ข้าจะได้คืนจากการที่ท่านทำให้ข้าเป็นทุกข์ ต่อไปนี้ก็ถือว่าตลอดสองปีที่ผ่านมาข้าปฏิบัติต่อท่านเหมือนกับการเลี้ยงสุนัขที่ชื่นชอบไปหนึ่งตัวก็แล้วกัน ”

เมื่อพูดจบ เธอก็หันหลังเดินกลับไปทางโรงเตี๊ยมหลวง

ฉินหรูเหลียงรู้สึกไม่เข้าใจ เขาไม่เคยทำปฏิบัติตัวเกินเลยกับเธอเลย เรื่องทุกอย่างทั้งหมดนั้นเป็นเธอสิ่งที่คิดตัดสินใจอยู่ฝ่ายเดียว แล้วทำไมเธอยังต้องมาจูบเพื่อชดเชยด้วย?!

แต่นั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่จะไม่ต้องเห็นเธอมาก่อกวนใจอีกต่อไป

หลังจากนั้นจาวหยางก็ไม่ได้คอยตามไปก่อกวนใจฉินหรูเหลียงในทุกๆที่เหมือนแต่ก่อนแล้ว เธอมักจะเข้ามาอยู่ในวังเป็นเพื่อนเล่นกับซูเซี่ยน แต่เธอนั้นก็กลับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว บางครั้งเธอก็เหม่อลอยขณะที่พบเจอกับซูเจ๋อและเฉินเสียน

ซูเจ๋อยื่นถ้วยชาร้อนที่อยู่ในมือให้กับจาวหยาง

จาวหยางใช้มือสองข้างถือถ้วยชานั้นเอาไว้ หมอบลงกับขอบหน้าต่างแล้วค่อยๆจิบชา

ซูเจ๋อเก็บรวบเสื้อขึ้นแล้วนั่งลงไปข้างๆเธอ ใช้นิ้วเคาะไปบนโต๊ะเพื่อเรียกให้เธอได้สติกลับมาพร้อมกับเอ่ยถามขึ้นว่า “ไม่กี่วันมานี้อยู่เที่ยวในฉู่จิงไม่มีความสุขหรือ?”

จาวหยางเอ่ยอย่างไม่ได้ใส่ใจว่า“มีความสุขสิ ข้ามีความสุขมากๆเลย”

ซูเจ๋อกระตุกคิ้ว แล้วก็เอ่ยขึ้นอีกว่า“ท่านแม่ทัพฉินทำให้ท่านน้อยใจหรือ?”

จาวหยางรู้สึกน้ำตาจะไหล ได้แต่เอามือคลำไปที่จมูกด้วยท่าท่างที่เฉยเมย แล้วพูดขึ้นว่า“เขาจะสามารถทำให้ข้าน้อยใจได้อย่างไร ท่านเห็นว่าข้าเป็นคนที่จะถูกคนอื่นทำให้น้อยใจหรืออย่างไร?”

ซูเจ๋อพยักหน้า พูดขึ้นอย่างอบอุ่นขึ้นว่า“มีผู้ชายบางคนก็เป็นเช่นนี้ ตอนที่มีไว้ในครอบครองก็ไม่เห็นคุณค่า แต่เมื่อสูญเสียไปก็เพิ่งจะมาเสียใจทีหลัง”

จาวหยางหันไปมองหน้าเขา พูดเสียงหลงขึ้นว่า“แล้วท่านเป็นเช่นนั้นหรือไม่?”

ซูเจ๋อกล่าว“ยังมีอีกประการหนึ่งก็คือการที่รู้ตัวเองว่าต้องการอะไรตั้งแต่ในตอนแรก และด้วยเหตุนี้ถึงแม้จะไม่ได้ครอบครองแต่ยิ่งต้องรักษาทะนุถนอมมันเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าข้าเป็นอย่างประการที่สอง”

จาวหยางทำท่าเป็นทุกข์ แล้วเอ่ยขึ้นว่า“ถ้าเขาเหมือนกับท่านก็คงจะดี”

ซูเจ๋อพูดอย่างครุ่นคิดว่า“เรื่องของความรักความผูกพันธ์นั้นไม่ควรที่จะวิ่งไล่ตาม ท่านต้องถอยออกมาก่อนเพื่อที่จะได้ก้าวเข้าไปใกล้ รอวันที่เขาจะวิ่งตามท่าน แล้ววันนั้นเขาก็จะเป็นของท่านไปโดยปริยายและเขาจะไม่มีทางหายไปไหน”

เฉินเสียนปรากฏกายอยู่ด้านหลังของซูเจ๋อ พูดขึ้นมาทันทีว่า“โอ้?ถ้าเป็นตามอย่างที่ท่านพูด เมื่อก่อนท่านก็ถอยเพื่อที่จะก้าวเข้าใกล้ใช่หรือไม่?”

ซูเจ๋อเงียบไปอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันหลังกลับมา เอ่ยขึ้นอย่างจริงจังว่า“เรื่องราวเมื่อก่อนข้าจะไปจำได้อย่างไร ข้าความจำเสื่อมไปแล้ว”

จาวหยางลุกขึ้นอย่างเงียบๆเตรียมที่จะเดินออกไปข้างนอกพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า“ข้ามันหมาหัวเน่าเสียจริง ข้าไม่ควรที่จะอยู่เป็นกางขว้างคอของพวกท่าน”

ทั้งสองหันหน้ามองเข้าหากันที่หน้าต่าง แล้วก็หัวเราะออกมาอย่างเงียบๆกันอยู่ครู่ใหญ่

เฉินเสียนก้าวเท้าเดินเข้าไปใกล้ ใช้สองมือกอดเอวของเอาไว้ ซุกใบหน้าให้แนบชิดกับเสื้อแล้วกอดเขาไว้เบาๆพร้อมเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า“ข้าปรับตำรับยาให้ท่านใหม่แล้ว ประเดี๋ยวค่อยนำไปให้หมอผีที่สำนักหมอหลวงดูว่ามันเหมาะสมหรือไม่”

เฉินเสียนหวนนึกขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า“เมื่อก่อนท่านก็เหมือนกับไม่รีบร้อนวิ่งตามข้าจริงๆ ท่านค่อยๆขยับเข้ามาใกล้ทีละนิดๆนำตัวเองเข้ามาอยู่ในหัวใจของข้า แล้วทำให้ข้าต้องเป็นฝ่ายที่เดินตามท่านไป”

เขายิ้มบางแล้วเอ่ยว่า“เมื่อก่อนข้าเจ้าเล่ห์มากขนาดนั้นเลยรึ?”

“เจ้าเล่ห์ ช่วงเวลานั้นท่านเจ้าเล่ห์มาก ชอบยั่วยุให้คนโมโห ข้ามักจะถูกท่านตอกหน้าให้หงายจนไปต่อไม่เป็นกันเลยทีเดียว”

หมอผีย้ายเข้าไปอยู่ในสำนักหมอหลวงเพื่อที่จะได้ทำการรักษาสุขภาพร่างกายของซูเจ๋อได้สะดวกขึ้น และเมื่อเขาเข้าไปอยู่ในสำนักหมอหลวงก็ได้รู้จักกับฝูหลิง เด็กสาวผู้ที่มีทักษะเชี่ยวชาญทางการแพทย์

จากการที่ได้รู้จักกับฝูหลิงนั้น ก็ทำให้เขารู้ว่าปู่ของฝูหลิงนี่เองที่เป็นคนสอนวิชาการแพทย์ทั้งหมดให้กับเฉินเสียน เดิมทีหมอผีนั้นต้องการที่จะหาเพื่อนร่วมสายอาชีพเดียวกันอยู่แล้ว เขาจึงปรารถนาที่จะไปคำนับกับปู่ของฝูหลิงสักครั้งหนึ่ง

ดังนั้นฝูหลิงจึงใช้ช่วงเวลาวันหยุดปลายปี พาหมอผีไปยังที่กระท่อมยาบ้านของตัวเอง

ใครจะไปคิดว่าเพียงเมื่อเขาได้พบกับปู่ของเธอ แล้วได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันเกี่ยวกับทักษะวิชาการแพทย์ต่างๆ ผู้เฒ่าทั้งสองต่างก็รู้สึกได้ว่าพวกเขานั้นพบเจอกันช้าไป

หมอผีไม่อยากที่จะอยู่ในสำนักหมอหลวงต่อไปแล้ว เขาอยากจะไปสร้างกระท่อมยาอยู่ข้างๆบ้านปู่ของฝูหลิง เพื่อที่ผู้เฒ่าทั้งสองคนจะได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันได้ในทุกๆวัน

ดังนั้นเฉินเสียนจึงต้องนำใบสั่งยาที่ปรับเปลี่ยนแล้วไปส่งให้กับหมอผีที่นั่น เมื่อหมอผีดูแล้วก็ไม่มีอะไรที่จะต้องแก้ เพียงแต่เมื่อกินยาตำรับนี้ไปจนถึงช่วงหนึ่งก็ต้องค่อยมาปรับเปลี่ยนตำรับยาใหม่อีกครั้งก็พอแล้ว

ถึงหมอผีอยู่ในวังก็ไม่มีเรื่องอะไรที่จะต้องทำ เขาจึงอยากจะย้ายออกไปอาศัยอยู่นอกวัง เฉินเสียนได้รับปากกับหมอผีที่จะสร้างกระท่อมยาให้กับเขา ในวันถัดไปจึงส่งคนไปสร้างกระท่อมยาให้เขาได้อยู่ข้างๆบ้านปู่ของฝูหลิงใหม่อีกหนึ่งหลัง

หลังจากปีใหม่ผ่านไปไม่นาน มีอยู่วันหนึ่งอวี้เยี่ยนก็วิ่งกลับมายังวัง เพียงได้เห็นหน้าเฉินเสียนและแม่นมซุย ก็รีบวิ่งโผเข้าไปกอดทั้งสองคนเอาไว้แล้วร้องไห้ออกมาโดยที่ไม่พูดอะไร

ตอนนี้อวี้เยี่ยนอาศัยอยู่ในจวนของเฮ่อโยว ผู้เฒ่าเฮ่อนั้นเฝ้ารอคอยที่จะได้เห็นหลานออกมาวิ่งเล่น แต่คิดไม่ถึงว่าตลอดสองปีที่ผ่านมาจนมาถึงตอนนี้พวกเขาทั้งสองคนนั้นก็ยังคงใจเย็นและสงบนิ่ง

อวี้เยี่ยนปิดปากไม่เอ่ยถึงเรื่องการกลับเข้าวัง เฮ่อโยวก็ปิดปากไม่เอ่ยเรื่องสู่ขอเธอแต่งงาน

หลังจากร้องไห้เสร็จแล้ว อวี้เยี่ยนก็สะอึกสะอึ้นเช็ดน้ำตาแล้วฝืนยิ้มออกมา พร้อมกับพูดขึ้นว่า“ฝ่าบาท เอ้อร์เหนียง ในที่สุดข้าก็จะได้กลับมาอยู่กับพวกท่านแล้ว”

เฉินเสียนถาม“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

อวี้เยี่ยนกล่าว“ตอนแรกที่ฝ่าบาทสงสัยในตัวเฮ่อโยวคิดว่าเขาไม่จงรักภักดีต่อฝ่าบาท สองปีที่บ่าวคอยจับจ้องดูเขาอย่างใกล้ชิด ขอให้ฝ่าบาทวางใจได้ เขาไม่มีจิตใจที่ไม่ซื่อสัตย์ และบ่าวคิดว่าหน้าที่ของบ่าวเสร็จสมบูรณ์แล้ว สามารถจะกลับมาได้แล้วใช่หรือไม่เพคะ?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้าคือหงส์พันปี