ข้านี่แหละ ลูกผู้ชายตัวจริง นิยาย บท 143

ลิฟต์เลื่อนค่อยๆเลื่อนขึ้นมา หญิงสาวคนหนึ่งที่สวมชุดราตรีสีขาวและกำลังบรรเลงเปียโนค่อยๆปรากฏต่อหน้าผู้คน

ชุดสีขาวบริสุทธิ์งดงาม ประกอบกับเสียงเพลงไพเราะที่ถูกบรรเลงออกมาจากปลายนิ้วของเธอ เสนาะหูจับใจผู้ฟังทุกคน

คนสวยแบบนี้ ประกอบกับออร่าแบบนี้ ทำให้เธอเปรียบเสมือนนางฟ้าที่ดึงดูดสายตาของทุกคนให้มองไปที่เธอโดยไม่รู้ตัว

“คุณเจียง คุณมีคอนเนคชั่นกว้างขวางขนาดนี้ เดาว่าก็คงต้องเข้าใจเกี่ยวกับเปียโนด้วยสินะ? คุณคิดว่าเพลงบรรเลงเปียโนนี้เป็นยังไงบ้าง?” ฮั่วเซาฟงมองเจียงเฉิงแล้วถาม

เจียงเฉิงไม่สนใจฮั่วเซาฟง ทำเพียงฟังเสียงเปียโนเงียบๆ

ฮั่วเซาฟงรู้สึกเหมือนถูกหักหน้า จึงทำได้เพียงหุบปากไม่พูดอะไรอีก

เมื่อเพลงจบลง หลิงหลิงก็ลุกขึ้นยืนแล้วโค้งคำนับ

ทุกคนล้วนปรบมือชื่นชม

“ไม่เลว เสนาะหูจริงๆเลย เหมือนเสียงสวรรค์ที่หาฟังได้ยากบนโลกมนุษย์”

“นั่นสิ ไพเราะเกินไปแล้ว ถ้ามีโอกาส ก็จะต้องไปชมการแสดงของเธอที่เมืองหลวงให้ได้สักครั้ง”

หลิงหลิงเหมือนจะคุ้นชินกับเสียงชื่นชมแบบนี้ของฝูงคนแล้ว แม้เธอจะยังแค่อายุยี่สิบปี ทว่าก็ถูกยกย่องว่าเป็นเจ้าหญิงแห่งเปียโน เคยได้รับรางวัลด้านเปียโนมานับไม่ถ้วน เพียงแค่เธอบรรเลงจบหนึ่งบทเพลง ก็ไม่มีผู้ชมคนไหนที่จะไม่ปรบมือให้เธอ

“หืม?”

จู่ ๆหลิงหลิงก็สังเกตเห็น ว่าการแสดงครั้งนี้มีคนคนหนึ่งที่ไม่ปรบมือให้เธอ ซึ่งก็คือเจียงเฉิงนั่นเอง

หลิงหลิงขมวดคิ้วทันที เธอคือคนที่ทะนงตนมากๆ ดังนั้นจึงรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งกับการกระทำของเจียงเฉิงที่ไม่เคารพเธอ

“ทำไมหลิงหลิงถึงเดินลงจากเวที?”

“นี่คือจะไปไหนงั้นเหรอ?”

หลิงหลิงเดินมาตรงหน้าเจียงเฉิง พลันเอ่ยอย่างโมโหเล็กน้อยว่า “ทำไมนายถึงไม่ปรบมือ? หรือฉันเล่นเปียโนได้ไม่ดีงั้นเหรอ?”

“ไม่ใช่” เจียงเฉิงเอ่ยเสียงเรียบ

“นี่ท่าทางอะไรของนาย?” หลิงหลิงตะคอกเสียงอย่างไม่พอใจ เธอเป็นผู้หญิงที่ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะถูกคนเอาใจยกย่องมาโดยตลอด ไม่มีใครเคยเย็นชาขนาดนี้กับเธอมาก่อน

ฮั่วเซาฟงเห็นสถานการณ์แบบนี้ ก็พลันผุดความคิดบางอย่างขึ้นมาในหัว

“เจียงเฉิง หลิงหลิงลงมาแล้วทั้งที นายลองติชมเปียโนของเธอหน่อยสิ” ฮั่วเซาฟงยิ้มเอ่ย

“ใช่ นายติชมมาสิ บอกมาว่ามีตรงไหนไม่ดีกันแน่?” หลิงหลิงถามเสียงเย็น

“ที่แท้ก็ลงมาเพราะแบบนี้นี่เอง เพลงที่ไพเราะขนาดนี้ จะบอกว่าไม่ดีได้ยังไงกัน”

“นั่นสิ เดาว่าก็คงลืมปรบมือล่ะมั้ง น่าจะฟังแล้วอินเกินไป”

คนรอบข้างซุบซิบหารือกันเสียงเบา ยังไม่พูดถึงว่าหลิงหลิงมีชื่อเสียงมากที่เมืองหลวง ถึงขั้นถูกยกย่องว่าเป็นเจ้าหญิงแห่งเปียโน ที่มากไปกว่านั้นคืออาจารย์ของเธอเองก็เป็นถึงนักเปียโนที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ไม่เคยมีใครกล้าพูดว่าหลิงหลิงเล่นเปียโนได้ไม่ดี

เจียงเฉิงเงยหน้ามองหญิงสาวจอมเย่อหยิ่งตรงหน้า แล้วเอ่ยถามว่า “เธออยากให้ฉันวิจารณ์จริงๆเหรอ?”

หลิงหลิงกอดอกที่ยังไม่ค่อยอวบอิ่มของตัวเอง เอ่ยว่า “เอาสิ ฉันอยากจะเห็นจริงๆว่านายจะวิจารณ์ยังไง”

“เพลงที่บรรเลงเมื่อกี้นี้ ไม่ต่างอะไรจากขี้หมา!” เจียงเฉิงเอ่ยเสียงเรียบ

สิ้นเสียง ทั้งงานเลี้ยงก็พลันตกอยู่ในความเงียบสงัด

ทุกคนล้วนมองไปที่เจียงเฉิงด้วยสีหน้าตกตะลึงอย่างพร้อมเพรียงกัน

“แม่เจ้า เจ้าหมอนี่บ้าไปแล้วหรือไง? กล้าบอกว่าเพลงของคุณหลิงหลิงไม่ต่างอะไรจากขี้หมาได้ยังไงกัน?”

“ถึงจะพอมีตำแหน่งบ้างในหลูหยาง แต่ยังไงก็เทียบคุณหนูจากเมืองหลวงไม่ได้นี่ นี่มันเกินไปแล้วหรือเปล่า?”

“เฮ้อ ก็ยังเด็กมากเกินไปอยู่ดี คราวนี้ทำให้คุณหลิงหลิงที่เอาแต่ใจไม่พอใจ เจ้าหมอนี่ลำบากแน่”

หลังจากเงียบสงัดไปชั่วครู่ ทุกคนก็เริ่มซุบซิบหารือกัน

ฮั่วเซาฟงได้ยินดังนั้นเองก็อึ้งชะงักครู่หนึ่ง เขาเชิญหลิงหลิงมา ก็ย่อมต้องรู้ดีถึงนิสัยของสาวน้อยอัจฉริยะคนนี้อยู่แล้ว นิสัยดื้อด้านเอาแต่ใจสุดๆ ไม่อนุญาตให้คนอื่นว่าเธอไม่ดีโดยเด็ดขาด

เดิมทีแผนของฮั่วเซาฟงคือ เพียงแค่เจียงเฉิงพูดอะไรไม่ดี งั้นคุณหนูหลิงหลิงก็จะสั่งสอนเจียงเฉิงอย่างไม่ไว้หน้าแน่ ๆ

ทว่าฮั่วเซาฟงกลับคิดไม่ถึง ว่าเจียงเฉิงจะพูดแรงขนาดนี้ ถึงขั้นพูดออกมาโต้งๆว่าเพลงของคุณหลิงหลิงไม่ต่างอะไรจากขี้หมา

“ดัดจริต คราวนี้แกซวยแน่ ๆ” ฮั่วเซาฟงลอบคิดในใจอย่างสะใจ

“นายว่าอะไรนะ? นายกล้าบอกว่าเพลงที่ฉันบรรเลงไม่ต่างอะไรจากขี้หมางั้นเหรอ?” หลิงหลิงมองเจียงเฉิงแล้วถามอย่างตกตะลึง

“เจียงเฉิง นายอาจจะเข้าใจผิดไปแล้ว ความสามารถของหลิงหลิงอยู่ระดับสิบเชียวนะ อีกทั้งอาจารย์ของเธอก็เป็นถึงคุณเกาซานที่โด่งดังไปทั่วโลก จะแย่ขนาดนั้นเหมือนที่นายพูดได้ยังไงกัน” ฮั่วเซาฟงยิ้มเอ่ย

“เธออยากให้ฉันพูดเอง โทษฉันไม่ได้” เจียงเฉิงเอ่ยกับหลิงหลิง

“นี่นายกำลังเหยียดหยามฉันอยู่นะ” หลิงหลิงพูดกับเจียงเฉิงอย่างไม่พอใจ

“เจียงเฉิง ในเมื่อนายกล้าพูดแบบนี้ ก็แสดงว่านายเล่นได้ดีกว่าเธอสินะ?” ฮั่วเซาฟงยิ้มเอ่ยกับเจียงเฉิง

“จะว่าแบบนี้ก็ได้” เจียงเฉิงตอบ

“โอเค” ฮั่วเซาฟงยกยิ้มอย่างเอือมระอาเล็กน้อย

“ดูจากท่าทางของนายแล้ว นายไม่เชื่อฉันงั้นเหรอ?”

“ไม่เชื่อ ฉันคิดว่าฝีมือเปียโนของคุณหลิงหลิงอยู่ระดับท๊อปของโลกแล้ว”

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นเราพนันกันหน่อยเป็นไง? ถ้าฉันเล่นได้ไม่ดีเท่าเธอ นายจะให้ฉันกับหลิงหลงทำอะไรก็ได้ ถ้าฉันเล่นได้ดีกว่าเธอ งั้นนายก็ต้องยกเพชรดวงดาวแห่งความหวังให้ฉัน” เจียงเฉิงเอ่ยเสียงเรียบ

“คุณหลิงหลิง คุณคิดว่าได้ไหม?” ฮั่วเซาฟงหันไปถามหลิงหลิง

“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา รอเขาแพ้เมื่อไหร่ ฉันค่อยให้เขาขอโทษฉันก็ได้” หลิงหลิงไม่สนเดิมพันอะไรหรอก เพียงแค่อยากจะเอาชนะก็เท่านั้น

“ได้ ไม่มีปัญหา” ฮั่วเซาฟงเองก็ตอบตกลง แบบนี้เขาไม่เพียงแค่จะเอาใจหลิงหลิงได้ แต่ยังสามารถสั่งสอนเจียงเฉิงกับฮั่วหลิงหลงได้ด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวชัดๆ

ฮั่วเซาฟงรู้ดีถึงความสามารถด้านดนตรีของหลิงหลิง ทั้งประเทศจีนก็มีแค่ไม่กี่คนที่สามารถก้าวข้ามเธอได้ เจียงเฉิงยิ่งไม่มีทางเป็นหนึ่งในนั้นได้หรอก

“ตกลงตามนี้!”

เจียงเฉิงพูดจบก็ขึ้นไปบนเวที แล้วนั่งลงตรงหน้าเปียโน

“ชิ คอนเนคชั่นนายอาจจะสะสมได้ ฉันไม่เชื่อหรอกว่านายจะเป็นอัจฉริยะเปียโนด้วย” ฮั่วเซาฟงมองเจียงเฉิงที่อยู่บนเวทีอย่างได้ใจ

เจียงเฉิงยื่นมือกดแป้นเปียโนเบาๆ ทว่ากลับกดมั่วซั่วไปหมด คนด้านล่างเวทีฟังแวบเดียวก็ฟังออกแล้ว ว่าเจียงเฉิงไม่เข้าใจเกี่ยวกับเปียโนเลยสักนิด

“ฉันว่าแล้วว่าเขาเก๊กมั่วไปงั้นแหละ คราวนี้เล่นไม่เป็นแล้วขายขี้หน้าเลยไหมล่ะ”

“นั่นสิ คุณหลิงหลิงเล่นได้ดีขนาดนั้น แต่ก็ยังจะคัดค้านเรียกร้องความสนใจให้ได้ หาเรื่องใส่ตัวชัดๆ”

ทุกคนล้วนไม่เห็นดีในตัวเจียงเฉิง เพราะท่าทางของเขาเหมือนเล่นไม่เป็นเลยสักนิด

เจียงเฉิงไม่สนใจคนด้านล่าง ทว่ายังคงกดแป้นเปียโนทั้งหมดหนึ่งรอบ เขาได้รับวิชาตกทอดมาจากเทพหมอ จุดฝังเข็มกับเส้นลมปราณที่มากมายขนาดนั้นของร่างกายมนุษย์เขายังสามารถเรียนรู้ได้ทั้งหมด กะแค่เปียโนย่อมไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้ว

หลังจากที่เข้าใจเกี่ยวกับทำนองเสียง เจียงเฉิงก็เริ่มบรรเลงทันที

ทุกเมโลดี้เปรียบเสมือนเสียงสวรรค์ที่ดังเข้ามาในโสตประสาทหูของทุกคน

เสียงเปียโนนี่ราวกับสามารถผ่านทะลุวิญญาณของคน ไพเราะจับใจผู้ฟังทุกคน

ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนล้วนตะลึงงันกันถ้วนหน้า ดื่มด่ำในเสียงเปียโนของเจียงเฉิงโดยสิ้นเชิง บางครั้งก็ชวนเบิกบาน บางครั้งก็ชวนเศร้าโศก อารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้กลายเป็นเสียงเปียโนที่ถูกบรรเลงออกมาจากปลายนิ้วของเจียงเฉิง

เสียงเปียโนของเจียงเฉิง บ้างก็ทำให้พวกเขานึกถึงช่วงเวลาที่มีความสุข บ้างก็นึกถึงช่วงเวลาที่เศร้าโศกเสียใจ

“นี่......นี่มันต้องถึงขั้นที่รวมจิตวิญญาณกับเสียงเพลงเป็นหนึ่งเดียวกันจึงจะสามารถบรรเลงออกมาได้ คือขั้นที่อาจารย์ปรารถนามาโดยตลอด” หลิงหลิงมองเจียงเฉิงที่กำลังบรรเลงเปียโนอย่างตกตะลึง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้านี่แหละ ลูกผู้ชายตัวจริง