ลิฟต์เลื่อนค่อยๆเลื่อนขึ้นมา หญิงสาวคนหนึ่งที่สวมชุดราตรีสีขาวและกำลังบรรเลงเปียโนค่อยๆปรากฏต่อหน้าผู้คน
ชุดสีขาวบริสุทธิ์งดงาม ประกอบกับเสียงเพลงไพเราะที่ถูกบรรเลงออกมาจากปลายนิ้วของเธอ เสนาะหูจับใจผู้ฟังทุกคน
คนสวยแบบนี้ ประกอบกับออร่าแบบนี้ ทำให้เธอเปรียบเสมือนนางฟ้าที่ดึงดูดสายตาของทุกคนให้มองไปที่เธอโดยไม่รู้ตัว
“คุณเจียง คุณมีคอนเนคชั่นกว้างขวางขนาดนี้ เดาว่าก็คงต้องเข้าใจเกี่ยวกับเปียโนด้วยสินะ? คุณคิดว่าเพลงบรรเลงเปียโนนี้เป็นยังไงบ้าง?” ฮั่วเซาฟงมองเจียงเฉิงแล้วถาม
เจียงเฉิงไม่สนใจฮั่วเซาฟง ทำเพียงฟังเสียงเปียโนเงียบๆ
ฮั่วเซาฟงรู้สึกเหมือนถูกหักหน้า จึงทำได้เพียงหุบปากไม่พูดอะไรอีก
เมื่อเพลงจบลง หลิงหลิงก็ลุกขึ้นยืนแล้วโค้งคำนับ
ทุกคนล้วนปรบมือชื่นชม
“ไม่เลว เสนาะหูจริงๆเลย เหมือนเสียงสวรรค์ที่หาฟังได้ยากบนโลกมนุษย์”
“นั่นสิ ไพเราะเกินไปแล้ว ถ้ามีโอกาส ก็จะต้องไปชมการแสดงของเธอที่เมืองหลวงให้ได้สักครั้ง”
หลิงหลิงเหมือนจะคุ้นชินกับเสียงชื่นชมแบบนี้ของฝูงคนแล้ว แม้เธอจะยังแค่อายุยี่สิบปี ทว่าก็ถูกยกย่องว่าเป็นเจ้าหญิงแห่งเปียโน เคยได้รับรางวัลด้านเปียโนมานับไม่ถ้วน เพียงแค่เธอบรรเลงจบหนึ่งบทเพลง ก็ไม่มีผู้ชมคนไหนที่จะไม่ปรบมือให้เธอ
“หืม?”
จู่ ๆหลิงหลิงก็สังเกตเห็น ว่าการแสดงครั้งนี้มีคนคนหนึ่งที่ไม่ปรบมือให้เธอ ซึ่งก็คือเจียงเฉิงนั่นเอง
หลิงหลิงขมวดคิ้วทันที เธอคือคนที่ทะนงตนมากๆ ดังนั้นจึงรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งกับการกระทำของเจียงเฉิงที่ไม่เคารพเธอ
“ทำไมหลิงหลิงถึงเดินลงจากเวที?”
“นี่คือจะไปไหนงั้นเหรอ?”
หลิงหลิงเดินมาตรงหน้าเจียงเฉิง พลันเอ่ยอย่างโมโหเล็กน้อยว่า “ทำไมนายถึงไม่ปรบมือ? หรือฉันเล่นเปียโนได้ไม่ดีงั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่” เจียงเฉิงเอ่ยเสียงเรียบ
“นี่ท่าทางอะไรของนาย?” หลิงหลิงตะคอกเสียงอย่างไม่พอใจ เธอเป็นผู้หญิงที่ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะถูกคนเอาใจยกย่องมาโดยตลอด ไม่มีใครเคยเย็นชาขนาดนี้กับเธอมาก่อน
ฮั่วเซาฟงเห็นสถานการณ์แบบนี้ ก็พลันผุดความคิดบางอย่างขึ้นมาในหัว
“เจียงเฉิง หลิงหลิงลงมาแล้วทั้งที นายลองติชมเปียโนของเธอหน่อยสิ” ฮั่วเซาฟงยิ้มเอ่ย
“ใช่ นายติชมมาสิ บอกมาว่ามีตรงไหนไม่ดีกันแน่?” หลิงหลิงถามเสียงเย็น
“ที่แท้ก็ลงมาเพราะแบบนี้นี่เอง เพลงที่ไพเราะขนาดนี้ จะบอกว่าไม่ดีได้ยังไงกัน”
“นั่นสิ เดาว่าก็คงลืมปรบมือล่ะมั้ง น่าจะฟังแล้วอินเกินไป”
คนรอบข้างซุบซิบหารือกันเสียงเบา ยังไม่พูดถึงว่าหลิงหลิงมีชื่อเสียงมากที่เมืองหลวง ถึงขั้นถูกยกย่องว่าเป็นเจ้าหญิงแห่งเปียโน ที่มากไปกว่านั้นคืออาจารย์ของเธอเองก็เป็นถึงนักเปียโนที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ไม่เคยมีใครกล้าพูดว่าหลิงหลิงเล่นเปียโนได้ไม่ดี
เจียงเฉิงเงยหน้ามองหญิงสาวจอมเย่อหยิ่งตรงหน้า แล้วเอ่ยถามว่า “เธออยากให้ฉันวิจารณ์จริงๆเหรอ?”
หลิงหลิงกอดอกที่ยังไม่ค่อยอวบอิ่มของตัวเอง เอ่ยว่า “เอาสิ ฉันอยากจะเห็นจริงๆว่านายจะวิจารณ์ยังไง”
“เพลงที่บรรเลงเมื่อกี้นี้ ไม่ต่างอะไรจากขี้หมา!” เจียงเฉิงเอ่ยเสียงเรียบ
สิ้นเสียง ทั้งงานเลี้ยงก็พลันตกอยู่ในความเงียบสงัด
ทุกคนล้วนมองไปที่เจียงเฉิงด้วยสีหน้าตกตะลึงอย่างพร้อมเพรียงกัน
“แม่เจ้า เจ้าหมอนี่บ้าไปแล้วหรือไง? กล้าบอกว่าเพลงของคุณหลิงหลิงไม่ต่างอะไรจากขี้หมาได้ยังไงกัน?”
“ถึงจะพอมีตำแหน่งบ้างในหลูหยาง แต่ยังไงก็เทียบคุณหนูจากเมืองหลวงไม่ได้นี่ นี่มันเกินไปแล้วหรือเปล่า?”
“เฮ้อ ก็ยังเด็กมากเกินไปอยู่ดี คราวนี้ทำให้คุณหลิงหลิงที่เอาแต่ใจไม่พอใจ เจ้าหมอนี่ลำบากแน่”
หลังจากเงียบสงัดไปชั่วครู่ ทุกคนก็เริ่มซุบซิบหารือกัน
ฮั่วเซาฟงได้ยินดังนั้นเองก็อึ้งชะงักครู่หนึ่ง เขาเชิญหลิงหลิงมา ก็ย่อมต้องรู้ดีถึงนิสัยของสาวน้อยอัจฉริยะคนนี้อยู่แล้ว นิสัยดื้อด้านเอาแต่ใจสุดๆ ไม่อนุญาตให้คนอื่นว่าเธอไม่ดีโดยเด็ดขาด
เดิมทีแผนของฮั่วเซาฟงคือ เพียงแค่เจียงเฉิงพูดอะไรไม่ดี งั้นคุณหนูหลิงหลิงก็จะสั่งสอนเจียงเฉิงอย่างไม่ไว้หน้าแน่ ๆ
ทว่าฮั่วเซาฟงกลับคิดไม่ถึง ว่าเจียงเฉิงจะพูดแรงขนาดนี้ ถึงขั้นพูดออกมาโต้งๆว่าเพลงของคุณหลิงหลิงไม่ต่างอะไรจากขี้หมา
“ดัดจริต คราวนี้แกซวยแน่ ๆ” ฮั่วเซาฟงลอบคิดในใจอย่างสะใจ
“นายว่าอะไรนะ? นายกล้าบอกว่าเพลงที่ฉันบรรเลงไม่ต่างอะไรจากขี้หมางั้นเหรอ?” หลิงหลิงมองเจียงเฉิงแล้วถามอย่างตกตะลึง
“เจียงเฉิง นายอาจจะเข้าใจผิดไปแล้ว ความสามารถของหลิงหลิงอยู่ระดับสิบเชียวนะ อีกทั้งอาจารย์ของเธอก็เป็นถึงคุณเกาซานที่โด่งดังไปทั่วโลก จะแย่ขนาดนั้นเหมือนที่นายพูดได้ยังไงกัน” ฮั่วเซาฟงยิ้มเอ่ย
“เธออยากให้ฉันพูดเอง โทษฉันไม่ได้” เจียงเฉิงเอ่ยกับหลิงหลิง
“นี่นายกำลังเหยียดหยามฉันอยู่นะ” หลิงหลิงพูดกับเจียงเฉิงอย่างไม่พอใจ
“เจียงเฉิง ในเมื่อนายกล้าพูดแบบนี้ ก็แสดงว่านายเล่นได้ดีกว่าเธอสินะ?” ฮั่วเซาฟงยิ้มเอ่ยกับเจียงเฉิง
“จะว่าแบบนี้ก็ได้” เจียงเฉิงตอบ
“โอเค” ฮั่วเซาฟงยกยิ้มอย่างเอือมระอาเล็กน้อย
“ดูจากท่าทางของนายแล้ว นายไม่เชื่อฉันงั้นเหรอ?”
“ไม่เชื่อ ฉันคิดว่าฝีมือเปียโนของคุณหลิงหลิงอยู่ระดับท๊อปของโลกแล้ว”
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นเราพนันกันหน่อยเป็นไง? ถ้าฉันเล่นได้ไม่ดีเท่าเธอ นายจะให้ฉันกับหลิงหลงทำอะไรก็ได้ ถ้าฉันเล่นได้ดีกว่าเธอ งั้นนายก็ต้องยกเพชรดวงดาวแห่งความหวังให้ฉัน” เจียงเฉิงเอ่ยเสียงเรียบ
“คุณหลิงหลิง คุณคิดว่าได้ไหม?” ฮั่วเซาฟงหันไปถามหลิงหลิง
“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา รอเขาแพ้เมื่อไหร่ ฉันค่อยให้เขาขอโทษฉันก็ได้” หลิงหลิงไม่สนเดิมพันอะไรหรอก เพียงแค่อยากจะเอาชนะก็เท่านั้น
“ได้ ไม่มีปัญหา” ฮั่วเซาฟงเองก็ตอบตกลง แบบนี้เขาไม่เพียงแค่จะเอาใจหลิงหลิงได้ แต่ยังสามารถสั่งสอนเจียงเฉิงกับฮั่วหลิงหลงได้ด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวชัดๆ
ฮั่วเซาฟงรู้ดีถึงความสามารถด้านดนตรีของหลิงหลิง ทั้งประเทศจีนก็มีแค่ไม่กี่คนที่สามารถก้าวข้ามเธอได้ เจียงเฉิงยิ่งไม่มีทางเป็นหนึ่งในนั้นได้หรอก
“ตกลงตามนี้!”
เจียงเฉิงพูดจบก็ขึ้นไปบนเวที แล้วนั่งลงตรงหน้าเปียโน
“ชิ คอนเนคชั่นนายอาจจะสะสมได้ ฉันไม่เชื่อหรอกว่านายจะเป็นอัจฉริยะเปียโนด้วย” ฮั่วเซาฟงมองเจียงเฉิงที่อยู่บนเวทีอย่างได้ใจ
เจียงเฉิงยื่นมือกดแป้นเปียโนเบาๆ ทว่ากลับกดมั่วซั่วไปหมด คนด้านล่างเวทีฟังแวบเดียวก็ฟังออกแล้ว ว่าเจียงเฉิงไม่เข้าใจเกี่ยวกับเปียโนเลยสักนิด
“ฉันว่าแล้วว่าเขาเก๊กมั่วไปงั้นแหละ คราวนี้เล่นไม่เป็นแล้วขายขี้หน้าเลยไหมล่ะ”
“นั่นสิ คุณหลิงหลิงเล่นได้ดีขนาดนั้น แต่ก็ยังจะคัดค้านเรียกร้องความสนใจให้ได้ หาเรื่องใส่ตัวชัดๆ”
ทุกคนล้วนไม่เห็นดีในตัวเจียงเฉิง เพราะท่าทางของเขาเหมือนเล่นไม่เป็นเลยสักนิด
เจียงเฉิงไม่สนใจคนด้านล่าง ทว่ายังคงกดแป้นเปียโนทั้งหมดหนึ่งรอบ เขาได้รับวิชาตกทอดมาจากเทพหมอ จุดฝังเข็มกับเส้นลมปราณที่มากมายขนาดนั้นของร่างกายมนุษย์เขายังสามารถเรียนรู้ได้ทั้งหมด กะแค่เปียโนย่อมไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้ว
หลังจากที่เข้าใจเกี่ยวกับทำนองเสียง เจียงเฉิงก็เริ่มบรรเลงทันที
ทุกเมโลดี้เปรียบเสมือนเสียงสวรรค์ที่ดังเข้ามาในโสตประสาทหูของทุกคน
เสียงเปียโนนี่ราวกับสามารถผ่านทะลุวิญญาณของคน ไพเราะจับใจผู้ฟังทุกคน
ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนล้วนตะลึงงันกันถ้วนหน้า ดื่มด่ำในเสียงเปียโนของเจียงเฉิงโดยสิ้นเชิง บางครั้งก็ชวนเบิกบาน บางครั้งก็ชวนเศร้าโศก อารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้กลายเป็นเสียงเปียโนที่ถูกบรรเลงออกมาจากปลายนิ้วของเจียงเฉิง
เสียงเปียโนของเจียงเฉิง บ้างก็ทำให้พวกเขานึกถึงช่วงเวลาที่มีความสุข บ้างก็นึกถึงช่วงเวลาที่เศร้าโศกเสียใจ
“นี่......นี่มันต้องถึงขั้นที่รวมจิตวิญญาณกับเสียงเพลงเป็นหนึ่งเดียวกันจึงจะสามารถบรรเลงออกมาได้ คือขั้นที่อาจารย์ปรารถนามาโดยตลอด” หลิงหลิงมองเจียงเฉิงที่กำลังบรรเลงเปียโนอย่างตกตะลึง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้านี่แหละ ลูกผู้ชายตัวจริง