เมื่อฮั่วหลิงหลงได้ยินเสียงเปียโนที่เจียงเฉิงบรรเลง เธอก็ลุ่มหลงในเสียงเพลงนั้นโดยสิ้นเชิง พลันนึกถึงภาพในตอนนั้นที่เธอกับแม่ถุกไล่ออกจากตระกูลฮั่ว
ราวกับภาพนั้นปรากฏอยู่ตรงหน้าเธออย่างชัดเจน ความรู้สึกโศกเศร้ากลบฝังเธอจนมิด น้ำตาไหลลงมาจากหางตาโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเพลงจบลง เจียงเฉิงก็ลุกขึ้นยืน ทุกคนในงานเลี้ยงล้วนแต่มองเจียงเฉิงอย่างตกตะลึงกันถ้วนหน้า
“เป็นอะไรไป? ไม่มีเสียงปรบมือเลย ฉันเล่นได้ไม่ดีงั้นเหรอ?” เจียงเฉิงถามอย่างประหลาดใจเล็กน้อย
คำพูดของเจียงเฉิงทำให้ทั้งงานเลี้ยงเกิดเสียงอื้ออึงขึ้นในพริบตา
“ไพเราะเกินไปแล้ว ฉันไม่เคยฟังเพลงเปียโนแล้วอินขนาดนี้มาก่อนเลย ราวกับว่าความทรงจำของฉันถูกปลุกขึ้นมายังไงอย่างงั้น”
“แปลกจัง ทำไมฉันถึงร้องไห้? นี่เป็นเพลงเปียโนที่น่าทึ่งที่สุดเท่าที่ฉันเคยฟังมา ไม่มีอะไรมาเทียบเคียงได้ทั้งนั้น”
“ถึงว่าทำไมถึงกล้าพูดว่าหลิงหลิงเล่นเปียโนได้ไม่เพราะ ที่แท้ก็มีความสามารถจริงๆนี่เอง”
ทันใดนั้น ทั้งงานก็พลันมีเสียงปรบมือดังสนั่นขึ้น และก็มีนักข่าวไม่น้อยที่อยู่ในงาน เดิมทีที่เพชรดวงดาวแห่งความหวังถูกยกเลิกการประมูล พวกเขานึกว่าจะไม่มีข่าวอะไรให้ทำซะแล้ว ทว่าคราวนี้มีข่าวชวนอึ้งให้ไปเขียนแล้วสักที
“สวัสดีค่ะคุณผู้ชาย ไม่ทราบว่าคุณเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ชื่อดังคนไหนเหรอคะ?”
“คุณกับคุณหลิงหลิงรู้จักกันไหมคะ? มาจากตระกูลในเมืองหลวงด้วยหรือเปล่าคะ?”
มีนักข่าวไม่น้อยถามถึงตัวตนของเจียงเฉิง ทว่าเจียงเฉิงตอบเพียงแค่ว่า “ขอโทษครับ ผมเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง”
พูดจบ เจียงเฉิงก็ยกยิ้มบางๆ ก่อนจะเดินลงจากเวที หลิงหลิงรีบเดินไปพูดกับเจียงเฉิงทันทีว่า “คุณเจียง คุณมาเป็นคุณครูให้ฉันหน่อยได้ไหม? ไม่ว่าจะเงินทองหรือชื่อเสียง ถ้าคุณไปเมืองหลวงกับฉัน ฉันก็ให้คุณได้ทั้งนั้น”
หลิงหลิงรู้ดี ว่านักเปียโนที่รวมเสียงเพลงเข้ากับจิตวิญญาณได้นั้นมีน้อยมากๆ แม้แต่อาจารย์ของเธอก็ยังไม่แน่ใจ ว่านอกจากโมสาร์ทกับเบโธเฟนจะยังมีคนแบบนี้อยู่อีกหรือเปล่า
ทว่าวันนี้หลิงหลิงได้พบเจอแล้ว ไม่ว่าจะยังไง เธอก็ต้องให้เจียงเฉิงมาเป็นคุณครูของเธอให้ได้
“อะไรนะ? หลิงหลิงเป็นฝ่ายขอมอบตัวเป็นศิษย์กับคนคนนี้เองงั้นเหรอ?”
“น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ตระกูลหลิงมีอำนาจในเมืองหลวงมากด้วยนี่? หากได้เป็นอาจารย์ของเธอ นั่นก็เท่ากับว่าก้าวเดียวถึงฟ้าเลยไม่ใช่หรือไง?”
คำพูดของหลิงหลิงทำให้ทุกคนในงานล้วนตกตะลึงกันถ้วนหน้า ได้ไปเมืองหลวงกับหลิงหลิง นั่นถือเป็นเกียรติอันสูงส่งเชียวนะ เพราะตระกูลหลิงเองก็ถือเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ของเมืองหลวง เพียงแค่กอดต้นไม้ใหญ่ต้นนี้เอาไว้ อนาคตก็จะมีแต่เส้นทางที่โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ
สายตาของคนมากมายต่างเผยแววอิจฉาในทันที ใครจะไม่อยากมีโอกาสก้าวหน้าโดยไม่ต้องเปลืองแรงแบบนี้กัน
ทว่าคำตอบของเจียงเฉิงกลับทำให้ทุกคนต้องอึ้งกันอีกครั้ง
“เธอไม่มีสิทธิ์เป็นลูกศิษย์ฉัน!”
เจียงเฉิงเอ่ยเสียงเรียบ
หลังจากความเงียบสงัดเพียงชั่วครู่ ทุกคนก็ล้วนอึ้งชะงักอยู่กับที่ ถูก......ถูกปฏิเสธงั้นเหรอ!
นี่มันเป็นไปได้ยังไงกัน?
ชายหนุ่มคนหนึ่ง ไม่เพียงแค่สามารถเอาชนะหลิงหลิงได้ด้วยฝีมือเปียโนที่ยอดเยี่ยมของตัวเอง ซ้ำยังปฏิเสธคำเชิญชวนของลูกสาวตระกูลหลิงอีกต่างหาก นี่ต้องเป็นอัจฉริยะระดับไหนถึงจะสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้?
“นี่มันข่าวใหญ่เชียวนะ รีบถ่ายรูปเร็ว!”
“นั่นสิ เป็นข่าวหายากที่มีไม่มาก”
นักข่าวไม่น้อยล้วนยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายเจียงเฉิงกับหลิงหลิง
“เป็นไปได้ยังไงกัน??”
หลิงหลิงได้ยินเจียงเฉิงปฏิเสธตัวเอง ก็พลันน้ำตาคลอเบ้าทันที ตั้งแต่เด็กจนโตมีแต่คนตามใจเธอมาโดยตลอด ไม่ว่าเธอจะขออะไร ทุกคนมีแต่จะตอบตกลง ทว่าวันนี้กลับมีคนกล้าปฏิเสธเธอ
“เธอมีพรวรรค์มากก็จริง แต่ว่าเย่อหยิ่งและทะนงตัวมากเกินไป ความคิดและนิสัยแบบนี้จะจำกัดพัฒนาการของเธอ ถ้าเธอสามารถแก้นิสัยเย่อหยิ่งของตัวเอง รู้จักรับฟังคำวิจารณ์ของคนอื่น แล้วนำไปปรับปรุงแก้ไขเพื่อก้าวไปข้างหน้า บางทีก็อาจจะยังมีพื้นที่ให้พัฒนาตัวเองก็ได้” เจียงเฉิงเอ่ยกับหลิงหลิงเสียงเรียบ
คำพูดของเจียงเฉิงทำให้หลิงหลิงอึ้งชะงัก พลันเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าทำไมตัวเองถึงไม่พัฒนาสักที
“ขอบคุณอาจารย์ที่ชี้แนะ หลิงเอ๋อร์เข้าใจแล้ว!”
“ครับ ๆ ๆ!” พิธีกรตอบรัวๆ
ฮั่วเซาฟงมองแผ่นหลังของเจียงเฉิงกับฮั่วหลิงหลงที่จากไปด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว พลันเผยแววเย็นเยือกแวบหนึ่ง “นางแพศยา เรื่องจะไม่จบแค่นี้แน่”
ฮั่วหลิงหลงขับรถพาเจียงเฉิงมาที่สุสานแห่งหนึ่งที่ชานเมือง
“แม่ หนูเอาเพชรกลับมาให้แม่แล้วนะ” ฮั่วหลิงหลงถือเพชรดวงดาวแห่งความหวังเอาไว้ พลางเอ่ยเสียงสะอื้น
เจียงเฉิงไม่พูดอะไร ทำเพียงแค่มองดูอยู่ข้างๆ ฮั่วหลิงหลิงในตอนนี้ไม่มีท่าทางแข็งกร้าวดุดันเหมือนที่ผ่านมาอีก ราวกับเธอเองก็เป็นเพียงนกน้อยที่อ่อนแอและหมดหนทางตัวหนึ่ง วินาทีนี้เพียงต้องการยืนเงียบๆครู่หนึ่ง
สักพัก ฮั่วหลิงหลงจึงจะไหว้สุสานของแม่เสร็จ หลังจากที่ทั้งคู่เดินไปได้ระยะทางหนึ่ง ฮั่วหลิงหลงก็หาที่นั่งสะอาดบนพื้นหญ้า ก่อนจะหย่อนก้นนั่งลงไป
“นายเองก็นั่งลงด้วยสิ” ฮั่วหลิงหลงตบที่นั่งข้างๆตัวเอง
เจียงเฉิงพยักหน้าเบาๆ แล้วนั่งลงข้างกายฮั่วหลิงหลง
ฮั่วหลิงหลงเอียงหัวซบไหล่เจียงเฉิง เอ่ยเสียงเบาว่า “ขอบคุณนะ”
“ขอบคุณอะไร?”
“ถ้าไม่ใช่เพราะนาย ทั้งชีวิตนี้ฉันก็คงไม่สามารถเอาเพชรนี้กลับคืนมาได้แล้ว” ฮั่วหลิงหลงเอ่ยเสียงเบา
“มันเป็นสิ่งที่ผมควรทำอยู่แล้ว พี่ก็ให้เหล้าดีๆกับผมมากมายแล้วไม่ใช่เหรอ” เจียงเฉิงยิ้มเอ่ย
“แค่นี้ก็พอสำหรับนายแล้วเหรอ?”
“หือ?”
เจียงเฉิงมองฮั่วหลิงหลงอย่างอึ้งชะงักเล็กน้อย
ฮั่วหลิงหลงได้ยินดังนั้นก็ยกยิ้มขำเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือผลักเจียงเฉิงล้มลงบนพื้นหญ้า แล้วขึ้นมาคร่อมตัวเจียงเฉิง ฝ่ามือเรียวสอดเข้าไปในเสื้อของเจียงเฉิง นิ้วมือลูบไล้แผงอกของเขา พลางเอ่ยเสียงเบาว่า “เพื่อตอบแทนนาย พี่ยอมยกตัวเองให้นาย นายอยากให้พี่ทำอะไร พี่ก็จะทำแบบนั้น”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้านี่แหละ ลูกผู้ชายตัวจริง