ข้านี่แหละ ลูกผู้ชายตัวจริง นิยาย บท 144

เมื่อฮั่วหลิงหลงได้ยินเสียงเปียโนที่เจียงเฉิงบรรเลง เธอก็ลุ่มหลงในเสียงเพลงนั้นโดยสิ้นเชิง พลันนึกถึงภาพในตอนนั้นที่เธอกับแม่ถุกไล่ออกจากตระกูลฮั่ว

ราวกับภาพนั้นปรากฏอยู่ตรงหน้าเธออย่างชัดเจน ความรู้สึกโศกเศร้ากลบฝังเธอจนมิด น้ำตาไหลลงมาจากหางตาโดยไม่รู้ตัว

เมื่อเพลงจบลง เจียงเฉิงก็ลุกขึ้นยืน ทุกคนในงานเลี้ยงล้วนแต่มองเจียงเฉิงอย่างตกตะลึงกันถ้วนหน้า

“เป็นอะไรไป? ไม่มีเสียงปรบมือเลย ฉันเล่นได้ไม่ดีงั้นเหรอ?” เจียงเฉิงถามอย่างประหลาดใจเล็กน้อย

คำพูดของเจียงเฉิงทำให้ทั้งงานเลี้ยงเกิดเสียงอื้ออึงขึ้นในพริบตา

“ไพเราะเกินไปแล้ว ฉันไม่เคยฟังเพลงเปียโนแล้วอินขนาดนี้มาก่อนเลย ราวกับว่าความทรงจำของฉันถูกปลุกขึ้นมายังไงอย่างงั้น”

“แปลกจัง ทำไมฉันถึงร้องไห้? นี่เป็นเพลงเปียโนที่น่าทึ่งที่สุดเท่าที่ฉันเคยฟังมา ไม่มีอะไรมาเทียบเคียงได้ทั้งนั้น”

“ถึงว่าทำไมถึงกล้าพูดว่าหลิงหลิงเล่นเปียโนได้ไม่เพราะ ที่แท้ก็มีความสามารถจริงๆนี่เอง”

ทันใดนั้น ทั้งงานก็พลันมีเสียงปรบมือดังสนั่นขึ้น และก็มีนักข่าวไม่น้อยที่อยู่ในงาน เดิมทีที่เพชรดวงดาวแห่งความหวังถูกยกเลิกการประมูล พวกเขานึกว่าจะไม่มีข่าวอะไรให้ทำซะแล้ว ทว่าคราวนี้มีข่าวชวนอึ้งให้ไปเขียนแล้วสักที

“สวัสดีค่ะคุณผู้ชาย ไม่ทราบว่าคุณเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ชื่อดังคนไหนเหรอคะ?”

“คุณกับคุณหลิงหลิงรู้จักกันไหมคะ? มาจากตระกูลในเมืองหลวงด้วยหรือเปล่าคะ?”

มีนักข่าวไม่น้อยถามถึงตัวตนของเจียงเฉิง ทว่าเจียงเฉิงตอบเพียงแค่ว่า “ขอโทษครับ ผมเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง”

พูดจบ เจียงเฉิงก็ยกยิ้มบางๆ ก่อนจะเดินลงจากเวที หลิงหลิงรีบเดินไปพูดกับเจียงเฉิงทันทีว่า “คุณเจียง คุณมาเป็นคุณครูให้ฉันหน่อยได้ไหม? ไม่ว่าจะเงินทองหรือชื่อเสียง ถ้าคุณไปเมืองหลวงกับฉัน ฉันก็ให้คุณได้ทั้งนั้น”

หลิงหลิงรู้ดี ว่านักเปียโนที่รวมเสียงเพลงเข้ากับจิตวิญญาณได้นั้นมีน้อยมากๆ แม้แต่อาจารย์ของเธอก็ยังไม่แน่ใจ ว่านอกจากโมสาร์ทกับเบโธเฟนจะยังมีคนแบบนี้อยู่อีกหรือเปล่า

ทว่าวันนี้หลิงหลิงได้พบเจอแล้ว ไม่ว่าจะยังไง เธอก็ต้องให้เจียงเฉิงมาเป็นคุณครูของเธอให้ได้

“อะไรนะ? หลิงหลิงเป็นฝ่ายขอมอบตัวเป็นศิษย์กับคนคนนี้เองงั้นเหรอ?”

“น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ตระกูลหลิงมีอำนาจในเมืองหลวงมากด้วยนี่? หากได้เป็นอาจารย์ของเธอ นั่นก็เท่ากับว่าก้าวเดียวถึงฟ้าเลยไม่ใช่หรือไง?”

คำพูดของหลิงหลิงทำให้ทุกคนในงานล้วนตกตะลึงกันถ้วนหน้า ได้ไปเมืองหลวงกับหลิงหลิง นั่นถือเป็นเกียรติอันสูงส่งเชียวนะ เพราะตระกูลหลิงเองก็ถือเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ของเมืองหลวง เพียงแค่กอดต้นไม้ใหญ่ต้นนี้เอาไว้ อนาคตก็จะมีแต่เส้นทางที่โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ

สายตาของคนมากมายต่างเผยแววอิจฉาในทันที ใครจะไม่อยากมีโอกาสก้าวหน้าโดยไม่ต้องเปลืองแรงแบบนี้กัน

ทว่าคำตอบของเจียงเฉิงกลับทำให้ทุกคนต้องอึ้งกันอีกครั้ง

“เธอไม่มีสิทธิ์เป็นลูกศิษย์ฉัน!”

เจียงเฉิงเอ่ยเสียงเรียบ

หลังจากความเงียบสงัดเพียงชั่วครู่ ทุกคนก็ล้วนอึ้งชะงักอยู่กับที่ ถูก......ถูกปฏิเสธงั้นเหรอ!

นี่มันเป็นไปได้ยังไงกัน?

ชายหนุ่มคนหนึ่ง ไม่เพียงแค่สามารถเอาชนะหลิงหลิงได้ด้วยฝีมือเปียโนที่ยอดเยี่ยมของตัวเอง ซ้ำยังปฏิเสธคำเชิญชวนของลูกสาวตระกูลหลิงอีกต่างหาก นี่ต้องเป็นอัจฉริยะระดับไหนถึงจะสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้?

“นี่มันข่าวใหญ่เชียวนะ รีบถ่ายรูปเร็ว!”

“นั่นสิ เป็นข่าวหายากที่มีไม่มาก”

นักข่าวไม่น้อยล้วนยกกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายเจียงเฉิงกับหลิงหลิง

“เป็นไปได้ยังไงกัน??”

หลิงหลิงได้ยินเจียงเฉิงปฏิเสธตัวเอง ก็พลันน้ำตาคลอเบ้าทันที ตั้งแต่เด็กจนโตมีแต่คนตามใจเธอมาโดยตลอด ไม่ว่าเธอจะขออะไร ทุกคนมีแต่จะตอบตกลง ทว่าวันนี้กลับมีคนกล้าปฏิเสธเธอ

“เธอมีพรวรรค์มากก็จริง แต่ว่าเย่อหยิ่งและทะนงตัวมากเกินไป ความคิดและนิสัยแบบนี้จะจำกัดพัฒนาการของเธอ ถ้าเธอสามารถแก้นิสัยเย่อหยิ่งของตัวเอง รู้จักรับฟังคำวิจารณ์ของคนอื่น แล้วนำไปปรับปรุงแก้ไขเพื่อก้าวไปข้างหน้า บางทีก็อาจจะยังมีพื้นที่ให้พัฒนาตัวเองก็ได้” เจียงเฉิงเอ่ยกับหลิงหลิงเสียงเรียบ

คำพูดของเจียงเฉิงทำให้หลิงหลิงอึ้งชะงัก พลันเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าทำไมตัวเองถึงไม่พัฒนาสักที

“ขอบคุณอาจารย์ที่ชี้แนะ หลิงเอ๋อร์เข้าใจแล้ว!”

หลิงหลิงรีบเอ่ยกับเจียงเฉิงอย่างนอบน้อมทันที

“ไม่ต้องขอบคุณฉัน ถ้าอยากขอบคุณฉัน ก็ช่วยอะไรฉันนิดหน่อยก็พอ” เจียงเฉิง

“ว่ามาเลยค่ะ ไม่ว่าเรื่องอะไรฉันก็จะตอบตกลง” หลิงหลิงได้รับคำชี้แนะ ก็รู้สึกว่าขอแค่ตัวเองสามารถช่วยเจียงเฉิงได้ ก็ถือเป็นเกียรติอันใหญ่หลวงแล้ว

“ฉันไม่อยากให้รูปถ่ายตัวเองถูกเปิดเผย จะทำให้มีปัญหามากมายตามมา เพราะฉะนั้นฉันอยากให้เธอช่วย” เจียงเฉิงเอ่ย

หลิงหลิงมองนักข่าวที่กำลังถ่ายรูปแวบหนึ่ง พลันยิ้มเอ่ยทันทีว่า “อันนี้ง่ายมาก วางใจฉันได้เลย”

“ดี”

“อาจารย์เจียง คราวหลังถ้าไปเมืองหลวงก็ติดต่อหาฉันได้ตลอดเลยนะคะ ถ้ามีตรงไหนที่ช่วยได้ฉันจะช่วยแน่นอน” หลิงหลิงเอ่ย

“ไม่มีปัญหา”

เจียงเฉิงพูดจบก็กลับไปนั่งที่เดิมของตัวเอง ก่อนจะเอ่ยกับฮั่วเซาฟงว่า “เป็นไง? เอาเพชรให้ฉันได้หรือยัง?”

ณ ตอนนี้ ฮั่วเซาฟงโมโหจนแทบจะเป็นบ้าแล้ว เดิมทีคือเขาอยากหาเรื่องให้เจียงเฉิงลำบากใจ คิดไม่ถึงเลยว่ากลับกลายเป็นกระชับความสัมพันธ์ของเจียงเฉิงกับหลิงหลิงแทน

โชคดีในความโชคร้ายจริงๆ

“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา” ฮั่วเซาฟงพยายามกล้ำกลืนโทสะในใจตัวเอง ก่อนจะกวักมือเรียกพิธีกร เอ่ยว่า “ไปเอาของมาให้คุณเจียง”

“ครับ คุณชายฮั่ว!”

พิธีกรตอบรับ แล้วไปเอาเพชรดวงดาวแห่งความหวังมอบให้เจียงเฉียง ฮั่วหลิงหลงดูครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าให้เจียงเฉิง

“ขอบคุณ เรายังมีธุระ ขอตัวไปก่อนล่ะ” เจียงเฉิงพูดจบ ก็พาฮั่วหลิงหลงไปจากที่นี่

“คุณชาย จะปล่อยให้เธอเอาเพชรไปทั้งแบบนี้เลยเหรอครับ?” พิธีกรพูดอย่างไม่เต็มใจเล็กน้อย

“แล้วให้ทำยังไง? พนันก่อนหน้านี้มีหลิงหลิงเป็นพยาน ถ้าฉันผิดคำพูดแล้วล่ะก็ งั้นก็จะทำให้ตระกูลหลิงไม่พอใจไปด้วย” ฮั่วเซาฟงตวาดเสียงต่ำอย่างไม่พอใจ

“ครับ ๆ ๆ!” พิธีกรตอบรัวๆ

ฮั่วเซาฟงมองแผ่นหลังของเจียงเฉิงกับฮั่วหลิงหลงที่จากไปด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว พลันเผยแววเย็นเยือกแวบหนึ่ง “นางแพศยา เรื่องจะไม่จบแค่นี้แน่”

ฮั่วหลิงหลงขับรถพาเจียงเฉิงมาที่สุสานแห่งหนึ่งที่ชานเมือง

“แม่ หนูเอาเพชรกลับมาให้แม่แล้วนะ” ฮั่วหลิงหลงถือเพชรดวงดาวแห่งความหวังเอาไว้ พลางเอ่ยเสียงสะอื้น

เจียงเฉิงไม่พูดอะไร ทำเพียงแค่มองดูอยู่ข้างๆ ฮั่วหลิงหลิงในตอนนี้ไม่มีท่าทางแข็งกร้าวดุดันเหมือนที่ผ่านมาอีก ราวกับเธอเองก็เป็นเพียงนกน้อยที่อ่อนแอและหมดหนทางตัวหนึ่ง วินาทีนี้เพียงต้องการยืนเงียบๆครู่หนึ่ง

สักพัก ฮั่วหลิงหลงจึงจะไหว้สุสานของแม่เสร็จ หลังจากที่ทั้งคู่เดินไปได้ระยะทางหนึ่ง ฮั่วหลิงหลงก็หาที่นั่งสะอาดบนพื้นหญ้า ก่อนจะหย่อนก้นนั่งลงไป

“นายเองก็นั่งลงด้วยสิ” ฮั่วหลิงหลงตบที่นั่งข้างๆตัวเอง

เจียงเฉิงพยักหน้าเบาๆ แล้วนั่งลงข้างกายฮั่วหลิงหลง

ฮั่วหลิงหลงเอียงหัวซบไหล่เจียงเฉิง เอ่ยเสียงเบาว่า “ขอบคุณนะ”

“ขอบคุณอะไร?”

“ถ้าไม่ใช่เพราะนาย ทั้งชีวิตนี้ฉันก็คงไม่สามารถเอาเพชรนี้กลับคืนมาได้แล้ว” ฮั่วหลิงหลงเอ่ยเสียงเบา

“มันเป็นสิ่งที่ผมควรทำอยู่แล้ว พี่ก็ให้เหล้าดีๆกับผมมากมายแล้วไม่ใช่เหรอ” เจียงเฉิงยิ้มเอ่ย

“แค่นี้ก็พอสำหรับนายแล้วเหรอ?”

“หือ?”

เจียงเฉิงมองฮั่วหลิงหลงอย่างอึ้งชะงักเล็กน้อย

ฮั่วหลิงหลงได้ยินดังนั้นก็ยกยิ้มขำเล็กน้อย ก่อนจะยื่นมือผลักเจียงเฉิงล้มลงบนพื้นหญ้า แล้วขึ้นมาคร่อมตัวเจียงเฉิง ฝ่ามือเรียวสอดเข้าไปในเสื้อของเจียงเฉิง นิ้วมือลูบไล้แผงอกของเขา พลางเอ่ยเสียงเบาว่า “เพื่อตอบแทนนาย พี่ยอมยกตัวเองให้นาย นายอยากให้พี่ทำอะไร พี่ก็จะทำแบบนั้น”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้านี่แหละ ลูกผู้ชายตัวจริง