แม้สวี่จื้อกั๋วจะไม่เข้าใจเกี่ยวกับแพทย์แผนจีน ทว่าเขาเองก็เคยได้ยินคนพูดถึงมาก่อน ว่าวิชาจับกระดูกเป็นหนึ่งในห้าวิชาของแพทย์แผนจีน ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด ก็สามารถเชื่อมกระดูกที่หักของทั้งร่างกายผู้บาดเจ็บได้
เพราะเคยได้ยินเกี่ยวกับการรักษาแบบนี้มาก่อน ดังนั้นสวี่จื้อกั๋วจึงคิดว่าแพทย์แผนจีนคือปาหี่ที่หลอกลวงคน ไม่ผ่าตัดแล้วจะสามารถเชื่อมกระดูกได้ยังไงกัน ทว่าตอนนี้เขากลับได้เห็นวิธีมหัศจรรย์แบบนี้กับตาตัวเอง
หลังจากที่เจียงเฉิงเชื่อมกระดูกซี่โครงของผู้บาดเจ็บเสร็จ ก็เริ่มจับกระดูกส่วนอื่นต่อ เมื่อเชื่อมกระดูกขาเสร็จก็ใส่เฝือก จากนั้นก็เป็นกะโหลกศีรษะ
เพราะอาการบาดเจ็บของศีรษะไม่สามารถใส่เฝือกได้ ดังนั้นเจียงเฉิงจึงใช้เข็มทิ่มตรงจุดที่บาดเจ็บหนัก อาศัยพลังของเส้นลมปราณทำให้ส่วนที่บาดเจ็บมั่นคง
เห็นเพียงหลังจากเจียงเฉิงทำทุกอย่างเสร็จ ไม่นานอาการของผู้บาดเจ็บก็เริ่มดีขึ้น ลมหายใจเริ่มค่อยๆสม่ำเสมอ แม้แต่สีหน้าที่เจ็บปวดก็ผ่อนคลายลง
“เอาล่ะ พ้นขีดอันตรายแล้ว ไม่กี่วันต่อจากนี้ ให้เขาพักฟื้นแบบนี้ก็พอแล้ว” เจียงเฉิงเอ่ยพลางเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
“หมอเทวดา หมอเทวดาจริงๆ” ชายกำยำเสื้อดำเอ่ยกับเจียงเฉิงอย่างซาบซึ้งใจ
“ยังมีอีกหลายเข็มที่ผมยังไม่ได้ฝัง เพราะร่างกายของเขาอ่อนแอเกินไป จำเป็นต้องพักรักษาก่อน สองวันผ่านไปค่อยฝังเข็มอีกที” เจียงเฉืงเฉิงเอ่ยเสียงเรียบ
“ครับๆ ๆ” ชายกำยำเสื้อดำรีบตอบรับทันที
“คุณไปทำเรื่องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลก่อนเถอะ”
“ผมจัดการเองๆ!” สวี่จื้อกั๋วรีบเอ่ยกับชายเสื้อดำทันที
เจียงเฉิงไม่ได้อยู่ต่อ พลันออกไปจากที่นี่ทันทีเพื่อไปหาสวี่ฉิง ตอนนี้ก็มีนักข่าวมากมายตามมาพอดี เพราะคนที่เกิดเรื่องคือลูกชายของประธานไห่ อีกทั้งยังเป็นดาราชายที่มีชื่อเสียงอีกต่างหาก ดังนั้นสื่อสำนักข่าวต่างๆย่อมต้องการรายงานข่าวนี้โดยเร็วที่สุด
“ไม่ทราบว่าคุณเป็นคนที่รักษาลูกชายของประธานไห่หรือเปล่าคะ?”
“คุณเป็นหมอที่เก่งขนาดนี้ ไม่น่าจะเป็นหมอของโรงพยาบาลนี้หรอกใช่ไหม?”
นักข่าวไม่น้อยโพล่งคำถามใส่สวี่จื้อกั๋ว สวี่จื้อกั๋วรู้ดี ว่านี่เป็นโอกาสที่จะทำให้เขาเลื่องชื่อ จึงเอ่ยทันทีว่า “ผมเป็นศาสตราจารย์จากมณฑลที่มาทำวิจัยที่นี่ อาการแบบนี้รักษาได้ง่ายๆครับ”
“หมอที่มาจากมณฑล ถึงว่าทำไมถึงมีความสามารถที่เก่งกาจขนาดนี้ ไม่ทราบว่าชื่อคุณคือ?”
นักข่าวถามสวี่จื้อกั๋วไม่หยุด
เจียงเฉิงมาถึงห้องทำงานของสวี่ฉิง สวี่ฉิงในตอนนี้กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานด้วยสีหน้าเศร้า
“ภรรยา เธอไม่เป็นไรใช่ไหม” เจียงเฉิงเดินเข้ามาแล้วถาม
“ไม่เป็นไร” สวี่ฉิงจึงจะหลุดออกจากภวังค์ แล้วเอ่ยด้วยเสียงที่หนักอึ้งเล็กน้อย
“ความสัมพันธ์ของเธอกับลุงใหญ่ เหมือนจะไม่ค่อยดีมากนัก” เจียงเฉิงนั่งลงแล้วถาม
“สวี่ฉิงพยักหน้า จากนั้นก็มองไปที่เจียงเฉิง เอ่ยว่า “อันที่จริงเรื่องนี้ฉันไม่เคยบอกนายมาก่อน ในเมื่อวันนี้ลุงใหญ่มาแล้ว งั้นฉันก็ควรจะเล่าเรื่องนี้ให้นายฟังแล้วล่ะ”
เจียงเฉิงรู้สึกว่าสวี่ฉิงเหมือนจะมีเรื่องอะไรบางอย่างที่ค่อนข้างหนักหนา พลันรีบเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร เธอว่ามาเลย”
“อันที่จริงตระกูลสวี่ของพวกฉันมีเครือญาติที่มณฑล ตอนนั้นปู่ฉันจับพ่อฉันคลุมถุงชน เพื่อที่จะสามารถสานสัมพันธ์กับคนของเมืองหลวง แต่พ่อฉันไม่ยินยอม จะอยู่กับแม่ฉันให้ได้ ก็เลยทะเลาะกับตระกูลสวี่จนแตกหัก แล้วไปจากมณฑล ย้ายมาที่นี่”
“คนของมณฑลเองก็ไม่เคยติดต่อกับพ่อฉันมาก่อน จนกระทั่งต่อมาฉันโตแล้ว พวกฝั่งของปู่ก็อยากจะจับฉันคลุมถุงชนอีก แต่งกับลูกเขยที่ดีหน่อย สานสัมพันธ์กับตระกูลของเมืองหลวง แต่ฉันไม่ยอม เดิมทีคือต้องการจะอยู่กับจี้เจ๋อ แต่เขากลับทำเรื่องแบบนั้น ต่อมาด้วยความที่ฉันโกรธ ก็เลยแต่งงานกับนาย” สวี่ฉิงเอ่ยเสียงเบา
เจียงเฉิงฟังมาถึงตรงนี้ก็เข้าใจแล้ว ที่แท้ตระกูลสวี่ของมณฑลก็เห็นลูกหลานของตัวเองเป็นเครื่องมือที่ใช้สานสัมพันธ์นี่เอง รวมถึงสวี่ฉิงเองก็เหมือนกัน เธอไม่อยากตกเป็นเครื่องมือ ดังนั้นจึงหาลูกเขยแต่งเข้าบ้านคนหนึ่ง ซึ่งเหตุผลไม่ใช่เพราะจี้เจ๋อทั้งหมด
“ฉันเข้าใจแล้ว เพราะฉะนั้นครั้งนี้ที่ลุงใหญ่มา เพราะอาจจะต้องการจับเธอคลุมถุงชนอีกแล้วสินะ?” เจียงเฉิงเอ่ยถาม
“ใช่แล้วล่ะ แต่ฉันไม่มีทางตอบตกลงหรอก” สวี่ฉิงเอ่ยอย่างหนักแน่น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้านี่แหละ ลูกผู้ชายตัวจริง