“คนแบบนี้ พวกนายบอกฉันว่าเขาเป็นแค่บุรุษพยาบาล เป็นสวะไร้ปะโยชน์ที่ไม่มีความก้าวหน้างั้นเหรอ?”
ปัง!
สวี่ฉางเซิงพูดแล้วก็ตบโต๊ะแรงๆอีกครั้ง พลันก่นด่าว่า “ถ้าแบบนี้ยังเรียกว่าไม่มีความก้าวหน้า งั้นพวกนายยังอยากจะให้เขาก้าวหน้ายังไงอีก?”
สวี่ฉางเซิงโกรธจัดจนเส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปน เขาไม่เคยรู้สึกโกรธขนาดนี้มาก่อน ทั้งที่หลานเขยเขายอดเยี่ยมขนาดนี้ แต่กลับถูกคนในบ้านตั้งแง่ใส่ ซ้ำยังถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม นี่มันจะมากเกินไปแล้ว
สีหน้าของสวีหย่ากับสวี่เหลียงล้วนดูย่ำแย่เหมือนกินอุจจาระ ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็คิดไม่ถึง ว่าแท้จริงแล้วเจียงเฉิงจะเก่งกาจขนาดนี้ ซ้ำยังสร้างเนื้อสร้างตัวที่หลูหยางได้ถึงขนาดนี้จนชวนอึ้ง
“ไม่ว่าจะยังไงเขาก็ยังคงเป็นลูกเขยแต่งเข้าบ้านที่ไร้น้ำยาอยู่ดี” สวีหย่าพูดเสียงเบาอย่างไม่พอใจ
“ใครบอกว่าเป็นลูกเขยแต่งเข้าบ้านก็คือไร้น้ำยา? ถ้าหลานฉันเป็นลูกเขยแต่งเข้าบ้านแล้วได้ขนาดนี้ งั้นฉันก็ยังรู้สึกภาคภูมิใจด้วยซ้ำ” สวี่ฉางเซิงพูดแล้วมองไปที่สวี่เหลียงอย่างเย็นชา
ก็จริง ตอนนี้มาดูหลานชายทั้งสองคนของเขา คนหนึ่งสวี่เหลียงคนหนึ่งสวี่เจี้ยน ทั้งคู่เทียบเจียงเฉิงไม่ติดเลยสักนิด เขาเข้าใจเจียงเฉิงและจื้อจุนผิดไปแล้วจริงๆ
“จากนี้ไปตระกูลสวี่ของเราก็พึ่งเจียงเฉิงเป็นหน้าเป็นตาให้แล้ว ถ้าใครกล้ากลั่นแกล้งเขาอีก ระวังฉันจะลงโทษให้เข็ด” สวี่ฉางเซิงพูดแล้วก็ตบโต๊ะแรงๆอีกไม่กี่ที
สวีหย่าฟังออกแล้ว ว่าปู่เธอกำลังเตือนเธออย่างชัดเจน ทว่าเธอไม่ยอมเชื่อฟังหรอกนะ ยังไงซะ รอแฟนเธอกลับมาเมื่อไหร่ ก็จะให้เจียงเฉิงได้เจอดีแน่
“หึ!”
สวีหย่าทำเสียงขึ้นจมูก ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วจากไป สวี่จื้อหาวเห็นท่าทางของลูกสาวตัวเองก็รู้สึกจนใจ เพียงแต่ยังว่าอะไรไม่ได้
ตอนกลางคืน เปียนหยวนก็กลับมาถึงบ้าน คนในบ้านกำลังกินข้าวเย็นกัน เพียงแต่เปียนหยวนไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ตัวเองเสียคลินิกให้เจียงเฉิง
“เปียนหยวน นายบอกว่าจะฝึกฝนตัวเองที่เมืองหัวตงไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงกลับมาเร็วขนาดนี้” เปียนเฉียนฟานถามลูกชายตัวเอง
“พ่อ ผมมีเรื่องที่โรงเรียนนิดหน่อย ก็เลยกลับมาก่อนน่ะ” เปียนหยวนไม่กล้าพูดเรื่องนี้ เพราะหากพูดไปแล้ว ปู่เขาก็อาจจะหักขาเขาก็ได้
”เสี่ยวหยวน นายมีเรื่องอะไรปิดบังเราหรือเปล่า?” เปียนว่านเชิงถามเปียนหยวนด้วยแววตาเย็นเยือก
เปียนว่านเชิงเป็นถึงผู้นำตระกูลเปียน สีหน้าดูน่าเกรงขามมากๆ โดนเฉพาะสายตาที่เหมือนมีความสามารถอ่านใจคนได้ ทันทีที่เขาถาม เปียนหยวนก็พลันกระวนกระวายใจทันที
“ถูกหลอกง่ายขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?” เปียนว่านเชิงถามเสียงเย็น
“คนที่มันจ้างมามีเยอะเกินไป ผมรับมือไม่ทัน” เปียนหยวนขมวดคิ้วเอ่ย
เปียนว่านซานเองก็ดูออกว่าหลานชายตัวเองโกหก ทว่าเขาเองก็ไม่ได้เปิดโปง หลานชายเขาไม่ได้เรื่องเลยสักนิด ไม่ใช่แค่รักษาคนไม่ได้เรื่อง แต่ยังตามความคิดคนอื่นไม่ทันอีกต่างหาก
“พ่อ คลินิกนี้เราต้องทวงกลับมาให้ได้” เปียนเฉียนฟานรู้ดีถึงคุณค่าของคลินิกนั้น อีกอย่าง เสียคลินิกตัวเองไปให้คนอื่นทั้งแบบนี้ก็น่าอับอายชะมัด
“ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ไปสืบประวัติของคนชื่อเจียงเฉิง แล้วค่อยว่าหาโอกาสทวงคลินิกกลับมา” เปียนว่านเชิงยังไม่เคยเสียหน้าขนาดนี้มาก่อน ชื่อเสียงลือนามของคลินิกว่านเชิง จะให้คนอื่นฉกฉวยไปได้ยังไงกัน
เปียนหยวนได้ยินปู่ตัวเองพูดดังนั้นก็อดรู้สึกได้ใจไม่ได้ ไอ้เจียงเฉิงนั่นซวยแล้วแน่ๆ
ขณะที่กำลังคุยกัน จู่ๆทีวีก็รายงานข่าวหนึ่ง ซึ่งก็คือข่าวของเมืองหัวตง “เศรษฐีหนุ่มลึกลับคนหนึ่งปรากฏตัวที่เมืองหัวตง ประธานปี้หมิงจูและประธานลู่จ้านเผิงมาพบปะด้วยตัวเอง อีกทั้งคนคนนี้ยังลึกลับมากๆ……”
“ใช่ หมอนี่ หมอนี่แหละ มันก็คือเจียงเฉิงที่หลอกเอาคลินิกไปจากผม” เปียนหยวนชี้ไปที่เจียงเฉิงที่อยู่ในรูปถ่าย พลันตวาดเสียงอย่างโกรธเกรี้ยว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ข้านี่แหละ ลูกผู้ชายตัวจริง