คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา นิยาย บท 155

ตอนที่ 155 ขอยืมข้าวที่บ้านแม่

หญิงชรามีสีหน้าไม่ยี่หระ พลางกล่าวเสียงแหลม “ใครเห็น พวกเขาเห็นอะไรกัน แค่เห็นแล้วจะมีประโยชน์อะไร ต้องนำหลักฐานออกมาด้วยสิ แท้จริงแล้วบนหนังสือแสดงหนี้นั่นเขียนอะไรไว้ สุดท้ายแล้วมีเพียงท่านหมอลู่เท่านั้นที่รู้ คนที่อยู่ข้างนอกก็แค่มองดูความคึกคัก ไหนเลยจะรู้เส้นสนกลใน เรื่องหลักฐานนี้ ใครจะทำขึ้นมากันได้ง่ายๆ”

เดิมทีมีหลักฐาน แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่มีแล้ว นี่ต้องยกความดีให้กับความฉลาดเฉียบแหลมของนางแล้วล่ะ!

นางยิ่งคิดก็ยิ่งลำพองใจ กลบสีหน้าดูถูกบนใบหน้าไว้ไม่มิด หญิงชราผู้นี้มักจะคิดว่าตนเองมีศีลธรรมจรรยา คิดว่าทุกคนบนโลกล้วนเป็นคนโง่ คนที่มีสมองเพียงคนเดียวก็คือนาง

จางซื่อก็ไม่สนว่าตอนนี้แม่สามีจะลำพองใจแค่ไหน นางเพียงอยากรู้ว่า กลางวันนี้จะมีข้าวใส่หม้อหรือไม่ “ตอนนี้ที่บ้านไม่มีอาหารเลยแม้สักนิดเดียว ในเมื่อทุกคนล้วนว่างอยู่ ไม่สู้แบ่งงานกันไปทำคนละหน่อย ในบ้านไม่มีข้าวและเสบียง จะซื้อหรือจะยืม อย่างไรก็ต้องมีคนไป”

เมื่อครู่หญิงชรากำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่ ในเมื่อจางซูเหมยพูดขึ้นมาแล้ว เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน “ซูเหมยเอ๋ย เจ้าไปบ้านพี่ชายเจ้าสักครั้งสิ ยืมข้าวมาสักสองโต่ว เมื่อนาของเราเก็บเกี่ยวได้ค่อยคืนเขาไป”

จางซื่อทำหน้าดำคร่ำเคร่งในทันที “ท่านแม่ ปีก่อนๆ กับปีที่แล้วท่านก็พูดเช่นนี้ตอนไปยืมข้าว แต่ตอนที่เก็บเกี่ยวได้ กลับไม่เห็นท่านนำไปคืนเลย ตอนนี้ยังจะยืมอีกหรือ เห็นคนสกุลจางอย่างพวกข้าเป็นกระต่ายอ้วนหรืออย่างไร”

หญิงชราหน้าเปลี่ยนสี กล่าวด้วยโทสะ “เจ้ามันอกตัญญู พูดจามั่วซั่วอะไร สกุลไป๋ของพวกข้าเป็นคนที่ยืมข้าวไม่คืนอย่างนั้นหรือ”

จางซูเหมยหัวเราะเยือกเย็น “แล้วไม่ใช่หรือ? ยืมเสบียงของสกุลจางก็ไม่ใช่แค่ครั้งหรือสองครั้ง แล้วเป็นอย่างไรเจ้าคะ เคยคืนบ้างหรือไม่” เมื่อครู่เพิ่งฉีกหนังสือแสดงหนี้ของหมอลู่ไป เรื่องนี้นางลืมแล้วหรือ

เมื่อวานเจ้ารองถูกภรรยาสั่งสอนไปยกหนึ่ง ในใจเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาได้แล้วเช่นกัน จึงรีบช่วยภรรยาพูดว่า “ท่านแม่ ท่านลองไปดูที่บ้านของท่านลุงรองดีหรือไม่ ได้ยินว่าช่วงนี้ที่บ้านเขาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายทีเดียว ท่านไปหาพวกเขา ยืมข้าวมาสักสองโต่ว น่าจะไม่เป็นปัญหากระมัง หากไม่ได้จริงๆ ก็ให้สะใภ้ใหญ่ไปยืมที่สกุลหลิวก็ได้ แต่ไหนแต่ไรสะใภ้ใหญ่ก็ไม่เคยไปเอ่ยปากร้องขอที่สกุลหลิว ไปยืมครั้งนี้น่าจะไม่ปฏิเสธกระมัง”

สีหน้าของหญิงชรายิ่งไม่น่าดู นางกับบ้านแม่ของตนตัดขาดกันนานแล้ว ปีนั้นตนเองแต่งเข้าสกุลไป๋ พื้นเพของสกุลไป๋ดีกว่าสกุลอู๋ของพวกนางเล็กน้อย สามีต้อนรับนางเข้าบ้าน ยังให้เงินของขวัญกับนางหนึ่งตำลึงเงิน ในสมัยนั้น เงินของขวัญหนึ่งตำลึงเงินไม่นับว่าน้อย อีกทั้งทำชุดใหม่ให้นางอีกชุดหนึ่ง และนั่นเป็นการใส่ชุดใหม่ครั้งแรกในชีวิตของนาง

สะใภ้ใหญ่ที่บ้านแม่เห็นนางมีชีวิตที่ดี จึงมายืมข้าวและน้ำมันกับนางอยู่บ่อยๆ ครั้นยืมไปแล้วก็ไม่คืน แม้ชีวิตในสกุลไป๋จะดีกว่าสกุลอู๋ แต่ก็ทนให้คนสกุลอู๋มาเอารัดเปรียบบ่อยๆ เช่นนั้นไม่ได้

นางจึงค่อยๆ ห่างเหินจากคนในบ้านแม่ ทว่าเวลานั้นแค่ห่างเหินกันเท่านั้น ไม่ได้เลิกติดต่อกัน จนกระทั่งจู่ๆ บุตรชายของพี่รองที่บ้านแม่ป่วย ในบ้านไม่มีเงินรักษา จึงมาหานาง ตอนนั้นนางเพิ่งได้กำไรมาสองตำลึงเงิน ไหนเลยจะตัดใจให้พี่รองได้ จึงหลอกเขาว่าตนเองไม่มีเงิน บอกไปว่าอย่างไรก็ไม่ให้ยืม

ต่อมาบุตรของพี่รองป่วยตายไป ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คนสกุลอู๋ก็ไม่ได้มาที่สกุลไป๋อีก นางก็ไม่ได้กลับไปที่สกุลอู๋เช่นกัน

สีหน้าของหลิวซื่อมีแต่จะลำบากใจยิ่งขึ้น แม้นางกับบ้านแม่จะไปมาหาสู่กันอยู่ แต่ไหนแต่ไรมีเพียงคนที่บ้านแม่เท่านั้นที่ยื่นมือมาหานาง

บัดนี้บ้านแม่ยากจนข้นแค้น พวกเขาไม่มายืมข้าวของใดจากนางก็ไม่เลวแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา