คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา นิยาย บท 367

ตอนที่ 367 ตกลงปลงใจ

“นั่นก็แค่การคาดเดาของเจ้า หากมีคนจำเจ้าได้ เช่นนั้นเจ้าจะทำอย่างไร”

หูเฟิงยักไหล่ “จำได้ก็จำไปสิ ใช้ขุนพลต้านรับทหาร ใช้ดินต้านน้ำ คิดวิธีอะไรได้ก็ทำ ไม่เช่นนั้นจะทำอย่างไรได้”

ไป๋จื่อพลันมีสีหน้าฉุนเฉียว “ข้าขอพูดกับเจ้าตามตรง ไม่ล้อเล่น เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่ต้องการฆ่าเจ้าเหล่านั้นอาจจะรอเจ้าปรากฏตัวอยู่ก็ได้ ขอเพียงเจ้าปรากฏตัว พวกเขาก็จะลงมืออีกครั้ง หากมีศัตรูรุมล้อม แล้วเจ้าจะต่อกรกับพวกเขาอย่างไร”

ชายหนุ่มแค่นหัวเราะ “ข้าจะสู้พวกเขาได้หรือไม่ ไม่ลองดูสักหน่อยจะรู้ได้อย่างไร ข้านำทัพอยู่ในค่ายทหารถึงเจ็ดปี ข้ารู้ว่าควรจะแย่งชิงอำนาจที่เป็นของข้าเองกลับมาอย่างไร และไม่ใช่หมาแมวที่ไหนก็คู่ควรจะนำทัพทหารม้าหุ้มเกราะได้ ถึงแม้จะเกิดเรื่องกับนายทหารระดับสูงที่ภักดีกับข้าเหล่านั้น ทว่าพลทหารม้าหุ้มเกราะที่อยู่ใต้บัญชาก็ไม่ใช่พลทหารทั่วๆ ไป ข้ากินอยู่ร่วมกับพวกเขา ออกรบเข่นฆ่าศัตรูร่วมกัน อิทธิพลที่ข้ามีต่อพวกเขา ไหนเลยจะถูกแทนที่ด้วยคนไม่อ่าวที่ไม่ประมาณตนพวกนั้นได้”

“เจ้าก็เลยอยากจะลอบเข้าไปในกองทหารม้าหุ้มเกราะ?”

หูเฟิงเหลียวซ้ายแลขวา กดเสียงพูดลง “อย่าถามอีกเลย เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่เถอะ รอข้ากลับมา”

ครั้นกล่าวจบ เขาก็ยื่นมือเข้าไปในอกเสื้อ หยิบปิ่นหยกชิ้นหนึ่งออกมา นั่นเป็นปิ่นที่เขาซื้อมาจากตลาดในวันนั้น จากนั้นเขาก็ยื่นปิ่นไปให้นาง “เดิมทีข้าคิดจะมอบให้เจ้าในวันเกิดของเจ้า แต่ตอนนี้ดูท่าจะรอไม่ถึงวันนั้นแล้ว”

ไป๋จื่อรับปิ่นที่เขายื่นมาให้ มันมีขนาดเล็กทว่างดงาม มองแค่ครั้งเดียวก็ทำให้รู้สึกถูกใจได้แล้ว

“เจ้าซื้อมาตั้งแต่เมื่อใด” นางชอบมันมาก ด้วยใจอยากจะมีปิ่นสวยๆ สักชิ้นมาโดยตลอด นางไปร้านขายเครื่องเงินมาก็หลายครั้ง แต่ยังไม่เคยพบเจอชิ้นที่ถูกใจเลยสักครั้ง ทว่าปิ่นชิ้นนี้มีความยาวพอดิบพอดี เล็กกะทัดรัด ตรงใจของนางยิ่งนัก

หรือเพราะใครบางคนเป็นคนมอบให้นาง นางถึงได้รู้สึกถูกใจเป็นพิเศษเช่นนี้

หูเฟิงไม่ตอบ หนำซ้ำยังถามอีกว่า “ยาโถว ข้าได้ยินมาว่ารับปิ่นที่บุรุษมอบให้แล้ว เท่ากับว่ารับความรู้สึกที่บุรุษมอบให้เช่นกัน วันนี้เจ้ารับปิ่นที่ข้ามอบให้แล้ว นั่นเท่ากับว่าเจ้าตกลงปลงใจแล้ว”

เมื่อเห็นไป๋จื่อเบิกตาโพลงด้วยความตื่นตะลึง เขาก็กล่าวต่ออีกว่า “เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นคนจริงจังมาแต่ไหนแต่ไร เรื่องที่ข้ากำหนดชัดเจนแล้วย่อมไม่อาจเจรจาได้อีก ในเมื่อเจ้าตกลงปลงใจกับข้าแล้ว เจ้าก็ต้องระลึกถึงข้าอยู่เสมอ ห้ามลืมข้าแม้แต่วันเดียว”

ไป๋จื่อรีบยื่นปิ่นกลับไป “เจ้าพูดบ้าอะไรของเจ้า ใครจะตกลงปลงใจกับเจ้ากัน นำคืนไปๆ ข้าไม่ต้องการ”

“เจ้ารับของไปแล้ว ตอนนี้จะคืนข้าก็สายไปเสียแล้ว ข้าผู้นี้หัวรั้นนัก เรื่องที่ข้ากำหนดไว้แล้วจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ต่อให้ตอนนี้เจ้าโยนปิ่นนี้ทิ้งต่อหน้าข้า ทว่าเรื่องที่ตกลงกันไว้แล้วก็จะไม่เปลี่ยนแปลงเช่นเดิม” หูเฟิงกล่าว

เด็กสาวโมโหเขาจนหัวเราะออกมา นางชี้ไปที่อกของตนเอง “หูเฟิง เจ้ามองให้ดีๆ ข้าไป๋จื่อเพิ่งอายุสิบสาม เพิ่งอายุสิบสามเท่านั้น นี่เป็นการล่อลวงเด็กสาวนะเจ้ารู้หรือไม่ มันผิดกฎหมาย”

หูเฟิงเองก็หัวเราะตามไปด้วย ใต้แสงจันทร์ในคืนนี้ รอยยิ้มของเขาราวกับมีเวทมนตร์ก็ไม่ปาน ดึงดูดสายตาของนางให้ไม่อาจมองไปที่อื่นได้

“ข้าจะรอเจ้าเติบใหญ่ เจ้าก็รอข้ากลับมา ไป๋จื่อ พวกเราถูกลิขิตให้เคียงคู่กัน จะหนีไปก็ไร้ประโยชน์ เผชิญหน้าความเป็นจริงเสียเถอะ!”

ถูกลิขิต? ลิขิตนี้ใครเป็นคนตั้ง ใครเป็นคนกำหนด ได้ถามนางแล้วหรือไม่ มีสิทธิ์อะไรมาตัดสินชีวิตนาง

“พวกเจ้าคุยอะไรกันอยู่” จ้าวหลานเดินออกมาจากในเรือน เห็นบรรยากาศระหว่างทั้งสองคนไม่ค่อยดีนัก จึงเดินเข้ามาถาม

ไป๋จื่อรีบซ่อนปิ่นไว้ด้านหลัง ยิ้มเจื่อนๆ ตอบว่า “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ เขาจะจากไปอยู่รอมร่อ จึงกำชับข้าอยู่หลายคำ”

……….

ตอนที่ 368 ลำเอียง

สกุลไป๋

จางซื่อตบโต๊ะแล้วลุกขึ้น มองหลิวซื่อด้วยแววตาโกรธขึ้ง “เจ้าช่างวางแผนเสียเหลือเกินนะ ให้สามีและบุตรชายของข้าไปร่วมรบกับกองทัพ จะได้เงินมาเลี้ยงพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ คำพูดพรรค์นี้ก็คงมีแต่เจ้าที่พูดออกมาได้นั่นแหละ”

หลิวซื่อเองก็ยืนขึ้นเช่นกัน ส่งเสียงดังว่า “ข้าหวังดีกับครอบครัวของพวกเรา ที่ดินเพาะปลูกของบ้านเรานั้น แม้จะเก็บเกี่ยวให้ดีก็ไม่มีทางได้เงินถึงยี่สิบตำลึงเงินหรอก ข้าถามมาแล้ว ร่วมกองทัพครั้งนี้ไม่ได้จะให้พวกเขาไปเป็นทัพหน้า ก็แค่ให้พวกเขาเข้าไปอยู่ในค่ายทหารเท่านั้น ร้องตะโกนอย่างแข็งขันก็เพียงพอแล้ว ไม่น่าจะมีอันตรายอะไรได้ และข้าได้ยินมาว่าขอแค่ทัพใหญ่ของราชสำนักมาถึง พวกเขาก็กลับมาได้แล้ว อย่างไรเสียก็ไม่ใช่พลทหารที่เก่งกาจ รั้งอยู่ที่นั่นก็ช่วยอะไรไม่ได้ มีแต่จะเสียเสบียงอาหารไปเปล่าๆ ข้าว่าอย่างน้อยหนึ่งเดือน อย่างมากสองถึงสามเดือน พวกเขาก็น่าจะกลับมาได้แล้วกระมัง”

เมื่อได้ยินดังนั้น จางซื่อก็แค่นหัวเราะ “เจ้าพูดเสียดิบดีเชียวนะ เหตุใดเจ้าไม่ให้ต้าเป่าและเสี่ยวเฟิงของเจ้าไปร่วมกองทัพบ้างเล่า ไยให้เจ้ารองและฟู่กุ้ยไปร่วมกองทัพเสียอย่างนั้น”

หลิวซื่อยิ้มเจื่อน “ต้าเป่าใกล้จะแต่งงานแล้วไม่ใช่หรือ ไปเวลานี้ไม่เหมาะสม เสี่ยวเฟิงก็ต้องเรียนหนังสือ ยิ่งไม่เหมาะเข้าไปใหญ่ เดิมทีข้าอยากให้เจ้าใหญ่ไป พวกข้าให้ไปคนหนึ่ง พวกเจ้าก็ให้ไปคนหนึ่ง เช่นนั้นยุติธรรมดี แต่เจ้าก็รู้ว่าอาการบาดเจ็บที่ขาของเจ้าใหญ่ยังไม่หายดีโดยสมบูรณ์ ไปร่วมกองทัพก็คงจะไม่มีประโยชน์หรอก!”

“อาจจะมีประโยชน์ก็ได้ พรุ่งนี้ข้าจะไปพูดกับท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ว่าพี่ใหญ่ต้องการร่วมกองทัพ ตกลงตามนี้ พอดีจำนวน” จางซื่อกล่าว

เจ้าใหญ่ส่ายหน้าในทันที “ไม่ได้ๆ ข้าไปไม่ได้ ข้าเป็นลูกชายคนโตของสกุลนี้ เป็นเสาหลักของครอบครัว แล้วข้าจะไปได้อย่างไร ไม่ได้เด็ดขาด ต้าเป่าก็ไปไม่ได้ เขาเป็นหลานชายคนโต ต้องรีบแต่งภรรยาเข้ามา เร่งสืบสกุลของพวกเราโดยเร็วที่สุด เสี่ยวเฟิงยิ่งไม่ได้ใหญ่ ต่อไปเขาจะต้องเป็นขุนนางใหญ่โต มือของเขามีไว้จับพู่กัน ไม่ได้มีไว้จับดาบเข่นฆ่าใคร”

จางซื่อแค่นหัวเราะอีกครั้ง “พูดจาชักแม่น้ำทั้งห้า พวกเจ้าก็แค่อยากให้เจ้ารองและฟู่กุ้ยไปไม่ใช่หรือไร ได้เงินยี่สิบตำลึงเงินมาแล้วพวกเจ้าก็เสวยสุขได้ แต่ข้าจะบอกพวกเข้าให้นะ ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด”

เจ้ารองรู้สึกเจ็บปวดใจนัก พี่ใหญ่และสะใภ้ใหญ่พูดถึงขนาดนี้ แต่ท่านแม่กลับไม่พูดอะไรแม้สักคำ เพียงแค่อยู่ข้างๆ อย่างเงียบเชียบเท่านั้น

พวกเขาทั้งคู่ล้วนเป็นบุตรชายของนาง เหตุใดนางถึงได้ลำเอียงเช่นนี้

พี่ใหญ่และสะใภ้ใหญ่พูดจาเห็นแก่ตัวเช่นนี้ เขาพอจะเข้าใจได้ อย่างไรเสียทุกคนก็รักตัวเอง ทว่าท่านแม่ก็เป็นแม่แท้ๆ ของเขาเช่นกัน ไยนางถึงได้…

เจ้ารองจ้องมองหญิงชรา ถามว่า “ท่านแม่ ท่านว่าอย่างไร”

หญิงชรามุ่นคิ้ว ดวงตาหรี่ลง ทำให้มองไม่ออกว่านางมีสีหน้าเช่นไร นางเงียบไปครู่หนึ่ง จนในที่สุดก็เอ่ยว่า “ข้าว่าเจ้าใหญ่พูดมีเหตุผล เจ้ากับฟู่กุ้ยไปย่อมเหมาะสมที่สุด”

ก่อนหน้านี้คำว่าแยกบ้านเป็นเพียงความคิดหนึ่งของเขาเท่านั้น ทว่าวันนี้ความคิดนี้กลับแรงกล้าอย่างยิ่งยวด

เวลานี้เขาไม่อยากอยู่ที่บ้านนี้อีกต่อไปแม้สักเค่อเดียว เขาอยากจะแยกบ้านเดี๋ยวนี้

เจ้ารองลุกขึ้นยืน แววตาแข็งขืนผิดวิสัย เขากล่าวว่า “วันนี้ข้าขอเสนอเรื่องแยกบ้านอย่างเป็นทางการ ข้าจะแยกไปตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ไม่จำเป็นต้องหารืออะไรกันอีก”

หญิงชรามองบุตรชายคนรองตะลึงตาค้าง นางมองเห็นความเด็ดขาดบนใบหน้าของเจ้ารอง ทำเอานางใจเต้นระส่ำ รีบพูดขึ้นมาว่า “ข้ายังไม่ตายเสียหน่อย แยกบ้านอะไรกัน ข้าไม่ให้แยก”

เจ้ารองส่ายหน้า “พรุ่งนี้ข้าจะเชิญท่านหัวหน้าหมู่บ้านมาตัดสินอย่างยุติธรรม ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะแยกบ้าน” เก็บเกี่ยวคราวนี้ แม้ต้าเป่าจะตามมายังที่นาด้วย แต่เขากลับไม่ได้ลงมือทำงาน หากคิดคำนวณงานทั้งหมดแล้ว ก็ยังเทียบกับงานจิปาถะที่ฟู่กุ้ยทำไม่ได้เลย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา