ก่อนที่งานเลี้ยงจะเลิก เฉินหยูก็มาหาฉีเติ่งเสียนแล้วบอกเขาว่า น่าจะต้องอยู่ที่เมืองซูลาอีกสองวัน
เพราะท่าทีของคาปูซานทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ เหมือนกำลังมีแผนการบางอย่างซ่อนอยู่ เธอจึงต้องอยู่สืบเรื่องนี้ให้แน่ใจ
ฉีเติ่งเสียนก็รู้สึกเหมือนกันว่าท่าทีของคาปูซานที่เหมือนจะยอมตายไปพร้อมกันมันแปลกเกินไป เพราะในฐานะเจ้าหน้าที่ของหนานหยาง เขาไม่มีเหตุผลต้องไปแตกหักกับเฉินหยูขนาดนั้น
เรื่องนี้ทำให้เฉินหยูสงสัยว่าทางฝั่งของคุณย่าใหญ่เฉินกำลังวางแผนอะไรบางอย่างที่ร้ายแรงและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตกับเธอ
“รอข่าวจากฉันก่อน ฉันต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเพื่อนำมาวิเคราะห์” เฉินหยูกล่าว
“อืม ระวังตัวด้วย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น รีบส่งข่าวมาหาฉันทันที” ฉีเติ่งเสียนพูดขึ้น
เฉินหยูแสยะยิ้มก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงแดกดันว่า “ฉันจะไปรบกวนท่านได้ยังไงล่ะ? ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าท่านกำลังใช้เวลาสองต่อสองกับแฟนเก่าอยู่” พูดจบ เธอก็หันหลังเดินจากไป โดยไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ตอบกลับเลย
สวีเอ้าเสวี่ยเดินไปที่รถของตัวเอง เปิดประตูขึ้นนั่ง แต่ทันทีที่เธอนั่งลง ประตูฝั่งผู้โดยสารก็ถูกเปิดออก
เธอหันไปมอง แล้วก็เห็นไอ้หมาขี้ขลาด ฉีเติ่งเสียน เธอจึงเบิกตากว้างก่อนตะโกนอย่างโกรธจัด “ฉันอนุญาตให้นายขึ้นมารึไง?! ลงไปเดี่ยวนี้!”
ฉีเติ่งเสียนพูดขึ้นว่า “พูดดีๆ หน่อย วันนี้ฉันเพิ่งช่วยชีวิตเธอไว้นะ ถ้าฉันไม่ไปส่งเธอ แล้วหวงอิงตามมาแก้แค้น เธอก็รอวันตายงั้นเหรอ?”
ขณะที่พูด เขาก็หน้าด้านหน้าทนขึ้นมานั่งในรถหน้าตาเฉย แถมยังทำตัวสุภาพสุดๆ โดยการคาดเข็มขัดนิรภัยอีกด้วย!
สวีเอ้าเสวี่ย พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า "ฉันให้นายมาช่วยฉันหรือ? ฉันต้องการให้นายช่วยเหรอ?"
ฉีเติ่งเสียนขี้เกียจจะเถียงให้มากความ เขาเพียงเอนพนักพิงของเก้าอี้ไปข้างหลัง แล้วเอนตัวลงนอนอย่างสบายใจ "ยังยืนอึ้งอยู่ทำไม ขับรถสิ!"
สวีเอ้าเสวี่ย มุมปากกระตุกเล็กน้อย อยากจะโยนหมอนี่ลงจากรถนักแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ทำได้แค่สตาร์ทรถแล้วขับไปยังจุดหมาย
"เฮ้! ตอนเธอให้ฉันช่วยฆ่ามิฮาอิด เธอบอกจะให้ฉันหนึ่งพันล้าน แต่สุดท้ายกลับเบี้ยวไปห้าร้อยล้าน เมื่อไหร่จะคืนฉัน?" ฉีเติ่งเสียนถามอย่างเกียจคร้าน
"หึ!" สวีเอ้าเสวี่ยหัวเราะเยาะ ไม่คิดจะตอบอะไร
"แล้วก็อีกเรื่องนะ เรื่องที่เผิงไหล ฉันยอมให้สวีเอ้าหลงเข้างานก็เพราะเห็นแก่หน้าเธอ ไม่งั้นบ้านสวีของพวกเธอไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยวของโอกาส แบบนี้เธอไม่คิดจะขอบคุณฉันหน่อยเหรอ?" ฉีเติ่งเสียนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
สวีเอ้าเสวี่ย หันมาจ้องเขาแวบหนึ่ง ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราดว่า "อยากลองดีใช่ไหม ฉันจะพานายไปส่งถึงค่ายทหารรับจ้าง ให้พวกมันเอาปืนยิงใส่นายจนพรุนเลยดีไหม?"
ฉีเติ่งเสียน ตอบอย่างไม่สะทกสะท้านว่า "สบายใจได้ เธอนั่งอยู่ใกล้ฉันขนาดนี้ ถ้าฉันต้องตาย ฉันต้องลากเธอลงไปด้วยแน่ เธอเป็นคนฉลาด คงไม่ทำอะไรโง่ๆ หรอก!"
สวีเอ้าเสวี่ย ถึงกับหัวเราะขำด้วยความโมโห ก่อนพูดว่า "นายมันยังเลวเหมือนเดิม ไม่มีเปลี่ยนเลย!"
ฉีเติ่งเสียน หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า "แต่เธอน่ะ ดูสวยขึ้นทุกวันเลยนะ"
ไม่นานนัก สวีเอ้าเสวี่ย ก็ขับรถมาถึงเหมืองหินดำ บ้านพักของเธออยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ที่นี่คือฐานที่มั่นของเธอ
ฉีเติ่งเสียน สังเกตเห็นว่า บริเวณบ้านของสวีเอ้าเสวี่ยมีการรักษาความปลอดภัยแน่นหนา ทั้งจุดตรวจตราและเวรยามมากมาย ดูก็รู้ว่าเธอกลัวถูกลอบสังหารไม่น้อย
"โอเค ถึงที่แล้ว ฉันไปละ เอากุญแจรถมาด้วย ขอยืมใช้สักสองวัน" ฉีเติ่งเสียน ยื่นมือไปหาสวีเอ้าเสวี่ย
"อะไรนะ?" สวีเอ้าเสวี่ย ฟังแล้วถึงกับงง เต็มไปด้วยความสงสัย
"ทำไม ? หรือเธออยากให้ฉันค้างที่นี่? ฉันเป็นคนที่ไปนอนบ้านคนอื่นง่ายๆ งั้นเหรอ? ความซื่อสัตย์น่ะ เขียนอยู่บนหน้าฉันเลย!" ฉีเติ่งเสียน พูดพร้อมคว้ากุญแจรถจากมือของสวีเอ้าเสวี่ยไปหน้าตาเฉย
สวีเอ้าเสวี่ย ยังไม่ทันเข้าใจว่าเขากำลังเล่นตลกอะไร ฉีเติ่งเสียนก็ขึ้นรถ สตาร์ทเครื่อง แล้วเหยียบคันเร่งจากไปอย่างรวดเร็ว
เฉินหยู ได้ยินดังนั้นก็แสยะยิ้มเย้ยหยัน...
ฉีเติ่งเสียน เอ่ยถามว่า "เธอหัวเราะอะไร?"
เฉินหยู ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา "เวลาที่คนทั้งกลุ่มถูกไขมันหมูบังตา ก็ยากที่จะมองเห็นแก่นแท้ของปัญหา"
"โดยเฉพาะเมื่อถูกอำนาจและเงินทองปิดหูปิดตา มันก็ยิ่งทำให้มองอะไรไม่ออก"
"ไม่ว่าจะฉลาดแค่ไหน สุดท้ายก็ต้องทำเรื่องโง่ๆ กันทั้งนั้น"
"ยิ่งไปกว่านั้น ยัยแม่มดแก่นั่น อายุก็มากแล้ว สายตาก็ฝ้าฟาง ไม่ทันยุคสมัย แต่ยังดันทุรังอยากให้ตระกูลเฉิน และยืนหยัดต่อไปในหนานหยาง"
"เหอะ! ลองย้อนดูประวัติศาสตร์สิ มีชาติไหน? ตระกูลไหน? ที่สามารถคงอยู่ได้ตลอดกาล? เมื่อเสียงของประชาชนโหมกระหน่ำดั่งคลื่นทะเล คนโง่พวกนั้นก็มีแต่จะจบลงด้วยการเป็นศพที่แขวนอยู่บนเนินถ่านหิน!"
เฉินหยู ยืนกอดอก ในท่าทีของผู้นำที่มองการณ์ไกล ก่อนจะเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน
"ถ้าตระกูลเฉิน อยากจะคงอำนาจในหนานหยางต่อไป ก็ต้องเปลี่ยนจากการเป็นผู้นำเบื้องหน้าไปคอยบงการอยู่เบื้องหลัง และไม่ใช่แค่ตระกูลเฉินเท่านั้น แต่ทั้งหนานหยางเองก็จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มิเช่นนั้นก็คงไปไม่รอด"
เห็นได้ชัดว่า เฉินหยูต้องการเดินรอยตามตระกูลเจ้าสัวอย่างมอร์แกนและร็อกกีเฟลเลอร์ เพราะวิธีนี้จะช่วยให้ตระกูลเฉินดำรงอยู่ต่อไปได้ และยังคงรักษาผลประโยชน์ในหนานหยางเอาไว้ได้อีกด้วย
ตระกูลเฉินสามารถเป็น "จักรพรรดิแห่งหนานหยาง" ได้ แต่ต้องไม่เป็นจักรพรรดิที่สวมมงกุฎ
ฉีเติ่งเสียนมองเฉินหยูแล้วเพิ่งรู้ตัวว่า... อ้อ ที่แท้ ผู้หญิงก็สามารถเท่ได้ขนาดนี้เหมือนกันนี่นา!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มังกรผู้ทรงพลัง
ตั้งแต่ตอนที่ 217 ถ้าไม่อัพให้เต็มตอนก็คงต้องเลิกอ่านถาวรแล้ว...
อัพอีกวันไหนคะรับ...
ตอนละ6/7บรรทัด อัพใหม่ที...
ข้อความหายอีกแล้วครับ 280-284...
คนอัพไม่ดูเลยเหรอครับมันมาไม่กี่บรรทัดเอง...
ขาดตอนเลยครับ เนื้อหาไม่ครบแบบนี้...
ทำไมแต่ละตอนมันสั้นจัง...
253-264 ทำไมสั้นจังครับ...
ถ้าอัพมาแค่4, 5บรรทัดเลิกอัพเถอะ...
242 - 246 ข้อความขึ้นไม่ครบครับ...