คำพูดของสวีเอ้าเสวี่ยนั้นเรียกได้ว่าไม่ไว้หน้าพระสันตะปาปาสักเท่าไหร่
ในฐานะลูกน้องคนสนิทของพระสันตะปาปา ฉีเติ่งเสียนย่อมไม่สามารถปล่อยให้พระองค์อับอายได้ เขารีบไอขึ้นมาหนึ่งทีแล้วพูดว่า "อย่าพูดจาเหลวไหลนะ พระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์เป็นองค์แห่งความรู้รอบและทรงฤทธิ์สูงสุด"
พระสันตะปาปาก็กล่าวขึ้นเช่นกันว่า "นี่คือโชคชะตาอันน่าอัศจรรย์ เธอไม่ควรตั้งข้อสงสัย ควรฟังเสียงที่อยู่ลึกลงไปในหัวใจของตนเอง และยอมรับการชี้นำของพระผู้เป็นเจ้า"
สวีเอ้าเสวี่ยหัวเราะแล้วตอบว่า "ก็ได้ค่ะ งั้นหม่อมฉันไม่พูดอะไรอีกแล้ว!"
เห็นได้ชัดว่าพิธีประทานพรที่พระอัครสังฆราชใช้ได้ผลกับทุกคน แต่กลับไม่มีผลกับสวีเอ้าเสวี่ยสักเท่าไหร่ ถึงแม้ในใจเธออาจจะรู้สึกอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่มีทางถึงขั้นซาบซึ้งจนน้ำตาไหลแบบผู้หญิงคนอื่นๆ
เรื่องนี้ทำเอาฉีเติ่งเสียนได้แต่นิ่งไปอย่างจนใจ บางทีผู้หญิงที่ฉลาดเกินไปก็อาจจะไม่ใช่เรื่องดีนัก…...หรือไม่ก็อาจเกี่ยวกับสภาพจิตใจของสวีเอ้าเสวี่ยในตอนนี้
พระสันตะปาปาเองก็รู้สึกว่าพิธีประทานพรครั้งนี้จืดชืดอย่างบอกไม่ถูก พอจบพิธีก็ถึงกับถลึงตาใส่ฉีเติ่งเสียนหนึ่งที
ฉีเติ่งเสียนก็ได้แต่ยิ้มแหยๆ ให้พระสันตะปาปาด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย เพราะเขาเองก็ไม่อาจรู้ล่วงหน้าได้ว่าสวีเอ้าเสวี่ยจะไม่อินกับเรื่องพวกนี้
พระสันตะปาปาก็รีบบ่นเสียงดุๆ ตอนที่ สวีเอ้าเสวี่ยเผลอว่า "ครั้งหน้าถ้าจะพาใครมารับพรอีก ขอเก็บค่าธรรมเนียมห้าร้อยล้าน!"
ฉีเติ่งเสียนถึงกับเบ้หน้า ฟันแทบขบกันแน่น นี่มันขูดรีดเกินไปหรือเปล่าเนี่ย?
เห็นได้ชัดว่าพระสันตะปาปาค่อนข้างไม่พอใจจริงๆ เพราะเกือบอับอายต่อหน้าสาธารณะ แถมยังเสียฟอร์มหนักอีกด้วย
สวีเอ้าเสวี่ยกลับประเมินสถานการณ์แบบติดตลกว่า "ก็ถือว่าน่าสนใจดีนะ ไหนจะได้ให้ผู้นำสูงสุดแห่งศาสนาใหญ่ที่สุดในโลกมาประทานพรให้อีกต่างหาก"
ฉีเติ่งเสียนถามกลับว่า "ดูเหมือนเธอจะไม่สนใจเท่าไหร่นะ?"
สวีเอ้าเสวี่ยตอบว่า "กลวิธีหลอกเด็กสาวให้ดีใจแบบนี้ มันใช้ไม่ได้กับฉันหรอกนะ"
ฉีเติ่งเสียนกระตุกมุมปากเล็กน้อยแล้วพูดว่า "งั้นเดี๋ยวฉันจะให้อาจารย์จางเทียนจากเขาเสวียนหวู่ไปจัดพิธีทำบุญให้นายท่านสวีที่ตระกูลสวีก็แล้วกัน"
สวีเอ้าเสวี่ยฟังแล้วถึงกับเกือบของขึ้น ฟังดูสิ นี่มันคำพูดที่คนใช้พูดกันเหรอ?!
แม้ว่าฉีเติ่งเสียนจะเคยเปรียบเปรยไว้ก่อนหน้านี้ว่าให้สมเด็จพระสันตะปาปามาทำพิธีประทานพร ก็เหมือนกับให้อาจารย์จางเทียนไปทำพิธีไล่สิ่งชั่วร้ายในบ้าน…...แต่พอพูดออกมาตรงๆ แบบนี้ มันก็ช่างความฉลาดทางอารมณ์ต่ำเสียจริง
แล้วก็มาถึงวันของพิธีใหญ่ของศาสนาศักดิ์สิทธิ์ตามกำหนดการ ฉีเติ่งเสียนมาถึงนครรัฐวาติกันตั้งแต่เช้า แล้วเริ่มดำเนินการตามคำสั่งของพระสันตะปาปาเพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมพิธี
ส่วนสวีเอ้าเสวี่ยก็นั่งอยู่ในพื้นที่ของผู้ชมและเตรียมดูพิธีอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ เธออยากดูว่าฉีเติ่งเสียนจะมีบทบาทอย่างไรในพิธีสำคัญนี้
เมื่อถึงเวลาของพิธีก็เริ่มต้นด้วยพิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง จากนั้นบรรดาบุคลากรระดับสูงของศาสนาแต่ละคนก็ทยอยออกมา ฉีเติ่งเสียนปรากฏตัวเป็นคนรองจากสุดท้าย และคนที่ออกมาเป็นคนสุดท้ายคือสมเด็จพระสันตะปาปาผู้สวมชุดคลุมยาวสีขาว
สิ่งที่น่าสังเกตก็คือตอนที่ฉีเติ่งเสียนปรากฏตัว ผู้คนในพิธีล้วนแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเคารพนับถืออย่างเห็นได้ชัด เห็นได้ชัดว่าชื่อเสียงและสถานะของเขาใน ศาสนาศักดิ์สิทธิ์ ณ ปัจจุบันนั้นต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง
สมเด็จพระสันตะปาปาได้กล่าวเปิดงานด้วยถ้อยคำเรียบง่าย จากนั้นก็ทรงขอบพระคุณพระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ ผู้คนที่เข้าร่วมต่างรับฟังด้วยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความศรัทธาอย่างยิ่ง
พิธีกรรมบางประการซึ่งควรจะเป็นสมเด็จพระสันตะปาปาเป็นผู้ประกอบ กลับตกมาอยู่ในมือของฉีเติ่งเสียน เขาสวมเสื้อคลุมสีแดงสด ดูสง่างามและเปี่ยมไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ ขณะประกอบพิธีอย่างตั้งใจ
“ฝ่าบาททรงตั้งพระทัยจะผลักดันให้พระอัครสังฆราชฉีขึ้นเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งจริงๆ งั้นหรือ! พระเจ้า! ประวัติศาสตร์ของศาสนาศักดิ์สิทธิ์ของเรากำลังจะเปลี่ยนแปลงแล้วเหรอ? พระสันตะปาปาเชื้อสายเอเชียพระองค์แรกเชียวนะ!”
“เราต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความสำคัญเชิงกลยุทธ์ของการพัฒนาศาสนาศักดิ์สิทธิ์ที่สมเด็จพระสันตะปาปาทรงเน้นย้ำ สร้างจิตสำนึกในการประกาศศาสนาให้แข็งแกร่ง เสริมสร้างศรัทธาต่อพระเจ้า ให้ลูกศิษย์ทั้งหลายได้ยินเสียงศักดิ์สิทธิ์ อาบแสงศักดิ์สิทธิ์ และได้ดื่มน้ำมนต์อย่างชุ่มชื่น…...”
ฉีเติ่งเสียนพูดพร่ำไม่หยุด จนหลายคนเริ่มรู้สึกมึนงง เหมือนพูดทุกอย่าง แต่ก็เหมือนแทบจะไม่ได้พูดอะไรเลย
อย่างไรก็ดี สมเด็จพระสันตะปาปาทรงฟังด้วยความพอพระทัย เพราะฉีเติ่งเสียนกล่าวถึงพระองค์แทบทุกประโยค เชิดชูพระองค์ขึ้นไปสูงลิ่ว
พระองค์ทรงคิดในใจว่า “เลือกให้พระอัครสังฆราชฉีเป็นผู้รับผิดชอบงานนี้ช่างถูกต้องนัก ดีมาก งานแบบนี้ต่อไปให้เขาทำทั้งหมดไปเลยแล้วกัน”
ส่วนสวีเอ้าเสวี่ยถึงกับกลั้นขำไม่อยู่ ก็คำพูดของเจ้าหมอนี่มันช่างคุ้นหูเสียเหลือเกิน!
หลังจากนั้นฉีเติ่งเสียนก็ใช้สูตร “ต้องทำสิ่งนี้” “ต้องไม่ลืมสิ่งนั้น” แล้วตามด้วย “สองสิ่งต้องควบคู่ไปพร้อมกัน ทั้งสองด้านต้องแข็งแกร่ง”
“แปะๆๆๆ”
เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่ว พวกลูกศิษย์ของศาสนาศักดิ์สิทธิ์ต่างฮึกเหิมเป็นอย่างยิ่ง
ฉีเติ่งเสียนเผยรอยยิ้มออกมา ทว่าในใจของหลายคนกลับคิดว่า “ในที่สุดหมอนี่ก็พูดจบซักที!”
สมเด็จพระสันตะปาปาทรงตรัสขึ้นเมื่อฉีเติ่งเสียนกลับมานั่งข้างพระองค์ว่า “พูดได้ดีมาก!”
ก็เขาเอ่ยถึงแต่การนำของสมเด็จพระสันตะปาปา สมเด็จพระสันตะปาปาย่อมทรงพอพระทัยอย่างยิ่ง แต่เหล่าพระคาร์ดินัลที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง หนังตาขแงพวกเขาแทบจะปิดไม่ไหวแล้ว!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มังกรผู้ทรงพลัง
ตั้งแต่ตอนที่ 217 ถ้าไม่อัพให้เต็มตอนก็คงต้องเลิกอ่านถาวรแล้ว...
อัพอีกวันไหนคะรับ...
ตอนละ6/7บรรทัด อัพใหม่ที...
ข้อความหายอีกแล้วครับ 280-284...
คนอัพไม่ดูเลยเหรอครับมันมาไม่กี่บรรทัดเอง...
ขาดตอนเลยครับ เนื้อหาไม่ครบแบบนี้...
ทำไมแต่ละตอนมันสั้นจัง...
253-264 ทำไมสั้นจังครับ...
ถ้าอัพมาแค่4, 5บรรทัดเลิกอัพเถอะ...
242 - 246 ข้อความขึ้นไม่ครบครับ...