สารวัตรลู่เป็นคนที่ดีค่อนข้างใช้ได้เลยทีเดียว เกรงว่าเหตุการณ์รที่ยิงหยางเฉียงจะทิ้งบาดแผลทางจิตใจให้กับทั้งสองพ่อลูกคู่นี้
ในวันรุ่งขึ้นเขาเชิญทั้งสองคนไปทานมื้อเช้าด้วยกัน ถึงแม้ว่าจะยังอยู่บนรถไฟทาน แต่เขาก็แสดงความจริงใจออกมาอย่างเต็มที่
“พวกคุณทั้งสองพ่อลูกนี้กำลังเตรียมตีวจะไปเที่ยวที่จังหวัดซีเทียนใช่ไหม?” ลู่ตงไห่ถามพลางยิ้ม
“ใช่แล้ว พวกเราเตรียมตัวเมื่อไปถึงจังหวัดซีเทียน ตั้งใจจะไปสัมผัสเสน่ห์ของที่ราบสูง แล้วก็แวะไปดูตำหนักปู้หลุนอันเก่าแก่อย่างนั้นสักหน่อย” ฉีเติ่งเสียนตอบพลางทอดสายตาด้วยความคาดหวัง
ลู่ตงไห่พยักหน้าและพูดว่า “ทัศนียภาพของจังหวัดซีเทียนนี่ช่างสุดยอดจริง ๆ พวกคุณควรไปเห็นด้วยตาตัวเอง”
ระหว่างที่ฉีเติ่งเสียนกับสารวัตรลู่คุยกันอย่างออกรสออกชาติ แต่ฉีปู้อวี่ก็แค่นั่งเงียบๆ สูบบุหรี่ไฟฟ้าอยู่ข้าง ๆ
ท่าทาที่งสงบเยือกเย็นของเขานั้นดึงดูดสายตาของหญิงสาวหลายคนที่เดินผ่านไปมา ทำให้นแทบอยากเข้ามาขอช่องทางการติดต่อ
เมื่อเวลาผ่านไปรถไฟก็เริ่มเข้าสู่พื้นที่ที่ราบสูง อากาศเริ่มเบาบางลง ทั้งฉีเติ่งเสียนและฉีปู้อวี่ต่างก็รู้สึกไม่สบายตัวเล็กน้อย แต่สามารถก็ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว
ไม่เพียงแต่ทั้งสองคนมีความสามารถที่แข็งแกร่ง แต่เวลาผ่านไม่ถึงชั่วโมงทั้งสองคนก็คุ้นชินกับสภาวะอากาศแวดล้อมที่อากาศต่ำ
ทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างคือเทือกเขาหิมะอันยิ่งใหญ่ ธรรมชาตินั้นงดงามจนแทบลืมหายใจ ทำให้ผู้ชมถึงขั้นกับหยุดหายใจ
หลังจากการเดินทางเกือบสามสิบชั่วโมง รถไฟก็มาถึงสถานีเมืองเทียนหร่าง สารวัตรลู่ก็รออยู่หน้าประตูรถไฟตั้งแต่ก่อนจอดสถานี
“รบกวนทั้งสองท่านช่วยไปที่สถานีตำรวจ เพื่อทำบันทึกเล็กน้อยนะครับ เป็นขั้นตอนปกติทำเสร็จแล้วก็ไปได้เลย” ลู่ตงไห่พูดอย่างสุภาพ
อาจเพราะฉีปู้อวี่เป็นใบ้ตัวผอม ๆ แถมเคยถูกจับเป็นตัวประกัน ลู่ตงไห่จึงมองพวกเขาด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ
แต่ฉีเติ่งเสียนและฉีปู้อวี่ โดยธรรมชาติแล้วทั้งสองก็ไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดเหล่านี้นัก ตรงกันข้ามพวกเขากลับรู้สึกว่าสารวัตรลู่เป็นคนดี ไม่มีท่าทางหยิ่งยโสแบบข้าราชการเลยแม้แต่น้อย
ทั้งสองคนรับสัมภาระและไปที่สถานีตำรวจพร้อมกับลู่ตงไห่และเพื่อนร่วมงานของเธอคนหนึ่ง พวกเขาพลางทำตามขั้นตอนต่างๆ พลางจิบชาอุ่นๆ
หลังจากนั้นลู่ตงไห่ได้ยื่นนามบัตรให้ฉีปู้อวี่ “ถ้าหากคุณทั้งสองมีปัญหาอะไรในเมืองเทียนหร่างนี้ โทรหาผมได้เลย ถือเป็นการชดเฉยตอบแทนที่มีให้พวกคุณ”
ฉีปู้อวี่พยักหน้า ส่วนฉีเติ่งเสียนก็ตอบกลับว่า“ขอบคุณมากครับ หวังว่าสารวัตรลู่จะคลี่คลายคดีใหญ่ได้โดยไว”
ลู่ตงไห่พูดว่า“ผมอยากให้ทั้งชีวิตนี้ไม่มีคดีใหญ่ให้ต้องสืบเลยจะดีกว่า ขอแค่ผู้คนไม่ต้องทุกข์ทรมานก็พอแล้ว”
ฉีปู้อวี่ถึงกับต้องยกนิ้วโป้งให้สารวัตร
หลังจากออกจากสถานีตำรวจ ทั้งสองก็เข้าพักที่โรงแรมระดับห้าดาวอย่างไม่ลังเล คนอย่างพวกเขาไม่ใช่คนที่จำเป็นต้องประหยัด
หลังจากวางสัมภาระเรียบร้อยแล้ว ฉีเติ่งเสียนหันไปมองฉีปู้อวี่แล้วถามว่า “ว่าไงดีล่ะ จะไปตำหนักปู้หลุนเลย หรือจะไปที่คฤหาสน์ตระกูลซุนก่อน? ผมได้ยินมาว่าซ่างกวนหลานเยว่เคยเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของดินแดนตะวันตก ถ้าข้าจับนางกลับเมืองหลวงไปให้แม่ใช้เป็นสาวใช้ของแม่เราแบบนี้จะได้ไหม นะ?”
แต่ฉีปู้อวี่กลับโบกมือเป็นเชิงปฏิเสธ ตอนนี้สถานการณ์ของจังหวัดซีเทียนยังไม่ชัดเจน ตระกูลซุนที่ควบคุมสาขาสำนักหลงเหมินในซีเทียนมีท่าที่คิดกบฏตำหนักปู้หลุนเองก็ให้การสนับสนุนพวกเขา ถ้าบุกเข้าไปตรงๆอย่างเปิดเผยเกรงว่าจะได้ผลเสียมากกว่า
ยิ่งไปกว่านั้นผู้มีฝีมือสูงของตำหนักปู้หลุนก็ไม่ใช่แค่ของประดับ พวกเขาเป็นกลุ่มศาสนาที่ดำรงอยู่มานานหลายปี แถมยังลึกลับอย่างยิ่ง เคยมีผู้มีฝีมือระดับสูงปรากฏตัวมากมาย จึงไม่อาจประมาทได้!
อย่างครั้งก่อนที่พระปัญจเจิ้นกับท่านอาจารย์เจียยางมาเยือนเผิงไหล ทั้งคู่ล้วนเป็นผู้มีฝีมือระดับสูงสุดยอด ถ้าหากไม่ใช่นักพรตเฒ่ากับจ้าวหงซิ่วช่วยขัดขวางไว้ ฉีเติ่งเสียนคงต้องตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากอย่างยิ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มังกรผู้ทรงพลัง
ตั้งแต่ตอนที่ 217 ถ้าไม่อัพให้เต็มตอนก็คงต้องเลิกอ่านถาวรแล้ว...
อัพอีกวันไหนคะรับ...
ตอนละ6/7บรรทัด อัพใหม่ที...
ข้อความหายอีกแล้วครับ 280-284...
คนอัพไม่ดูเลยเหรอครับมันมาไม่กี่บรรทัดเอง...
ขาดตอนเลยครับ เนื้อหาไม่ครบแบบนี้...
ทำไมแต่ละตอนมันสั้นจัง...
253-264 ทำไมสั้นจังครับ...
ถ้าอัพมาแค่4, 5บรรทัดเลิกอัพเถอะ...
242 - 246 ข้อความขึ้นไม่ครบครับ...