มังกรผู้ทรงพลัง นิยาย บท 424

สวีเอ้าเสวี่ยมาถึงร้านอาหารก่อนหน้านี้แล้วและวันนี้เธอก็เหมาร้านอาหารแห่งนี้ด้วยราคาสูงไม่เบา

ชายชราวัย 60 ปีในชุดดำยืนอยู่ข้างเธอ เขาแบกกระเป๋าสัมภาระสีดำไว้บนหลัง กระเป๋าใบนี้ยาวประมาณหนึ่งเมตร ดูนูนๆ ออกมา ไม่รู้ว่าด้านในมีอะไร

เขาผู้นี้คือซู่หยูเจี๋ยที่ตระกูลสวีนับถือ ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น “เทพหอก” โดยชุมชนศิลปะการต่อสู้ในเมืองหลวงเมื่อยี่สิบปีก่อน!

ซู่หยูเจี๋ยพูดด้วยท่าทีสงบ “คุณดูสับสนนะคุณหนู ไม่บ่อยที่จะเห็นคุณเป็นแบบนี้”

สวีเอ้าเสี่ยยิ้มอย่างอดไม่ได้ “ลุงซู่ดูออกหมดเลยสินะ! ดูเหมือนว่าช่วงนี้สภาพของฉันคงไม่ค่อยดีเท่าไร”

ซู่หยูเจี๋ยพูดว่า “ไม่เป็นไร วันนี้จะสะสางเรื่องนี้ได้แน่ ถ้าเขายอมถอยก็ดีไป แต่ถ้าเขาไม่ถอยก็ช่างเขา ยังไงเรื่องนี้ก็ต้องจบลงที่นี่”

ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน เสียงหัวเราะดังสนั่นของชายหนุ่มคนหนึ่งก็ดังมาจากนอกร้าน เมื่อเสียงหัวเราะเข้ามาด้านในมันก็ทำให้แก้วบนโต๊ะสั่นและน้ำในก็แก้วสะเทือนจนเป็นระลอกคลื่น

“จ้าวเหิงหยู่มาแล้ว” คิ้วสีดำที่แซมด้วยสีขาวของซู่หยูเจี๋ยขยับเล็กน้อยและเขาก็พูดอย่างใจเย็น

ชายหนุ่มสูง 1.75 เมตรก้าวเข้ามา ในมือถือลูกเหล็กขนาดเท่าหัวแม่มือไว้จำนวนหนึ่ง ระหว่างที่เดินเขาก็โยนลูกเหล็กเข้าปากและกลืนลงท้อง

สวีเอ้าเสวี่ยพูดด้วยความประหลาดใจ “อาจารย์จ้าว ลูกเหล็กที่คุณกินเข้าไป มันย่อยได้เหรอ”

จ้าวเหิงหยู่เทลูกเหล็กที่เหลือทั้งหมดเข้าปาก กลืนพวกมันลงไปเหมือนลูกอมและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณหนูสวีไม่รู้อะไรเสียแล้ว ผมเป็นภาวะภูมิต้านทานบกพร่องตั้งแต่กำเนิด”

“หน้าหนาวมาเยือนทีไรก็รู้สึกท้องไส้ไม่สบายตัว!”

“ผมเลยต้องกินลูกเหล็กเป็นครั้งคราวเพื่อลดแก๊สในกระเพาะ”

“เมื่อแก๊สในกระเพาะคงที่ ผมก็ค่อยคายออกมา”

สวีเอ้าเสวี่ยตะลึงอย่างอดไม่ได้ หากคนส่วนใหญ่กลืนโลหะเข้าไปโดยไม่ตั้งใจ พวกเขาคงต้องการผ่าตัดเพื่อเอามันออก เธอไม่คาดคิดว่าจ้าวเหิงหยู่จะกลืนลูกเหล็กจำนวนมากขนาดนี้เพื่อลดแก๊สในกระเพาะ นี่มันเหลือเชื่อมาก!

“ท่านผู้นี้คงเป็นซู่หยูเจี๋ย เทพหอกที่ตระกูลสวีนับถือสินะ ผมอยากพบคุณมานานแล้ว! ท่านอาจารย์ของผมพูดถึงคุณอยู่บ่อยๆ เขาบอกว่าวิชากระบองยักษ์ของคุณสุดยอดมาก ถ้าเทียบในสมัยโบราณก็คงเป็นจ้าวจื่อหลงที่มาพร้อมม้าขาวและหอกเงิน” จ้าวเหิงหยู่พูดพร้อมกับยกมือคารวะซู่หยูเจี๋ย

ตอนแรกซู่หยูเจี๋ยไม่ได้มีความประทับใจที่ดีต่อรุ่นน้องผู้หยิ่งยโสคนนี้เท่าไรนัก แต่เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงอาจารย์จ้าวเปี้ยนจื่อ ซู่หยูเจี๋ยก็ลุกขึ้นแสดงความเลื่อมใส ยกมือคารวะและพูดว่า “ฉันคนนี้ความสามารถอ่อนด้อย ความรู้ก็ตื้นเขินนัก ไม่คู่ควรกับคำชมเช่นนี้จากผู้อาวุโสจ้าว!”

จ้าวเหิงหยู่ยิ้มและพูดว่า “ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน เพราะผ่านมาหลายปีก็ได้ยินแค่ชื่อ ยังไม่เคยเจอตัวเป็นๆ เลย!”

หลังจากได้ยินเช่นนั้น สายตาของซู่หยูเจี๋ยก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที นี่หนุ่มคนนี้กล้าท้าทายเขางั้นเหรอ

“หากชื่อเสียงของอาจารย์ซู่เป็นเพียงชื่อเสียงจอมปลอม คุณก็รีบกลับไปจะดีกว่า ผมจะได้ไม่ต้องเสียเวลา” จ้าวเหิงหยู่ยิ้ม

ซู่หยูเจี๋ยแค่นหัวเราะอย่างเย็นชาและตบมือลงบนกระเป๋าสัมภาระของเขา หลังจากเสียงตบดังลั่น สัมภาระก็กระจายออกและสิ่งของด้านในก็หล่นออกมา

สิ่งแรกที่หล่นออกมาคือหัวหอกสีเงิน ตามด้วยแท่งโลหะหลายอัน

เขาโบกมือทั้งสองไปมาในอากาศ แต่ไม่เห็นว่าทำอะไร หลังจากเสียงก๊อกๆ แก๊กๆ ดังขึ้น แท่งเหล็กก็เชื่อมต่อกัน หัวหอกต่อเข้าด้านล่างและกลายเป็นหอกใหญ่ยาวกว่าสองเมตร!

ในยุทธภพมีคำพูดว่า ดาบเดือน กระบองปี หอกชั่วชีวิต

แน่นอนว่าความหมายของมันคือ วิถีแห่งหอกยากจะฝึกฝน อีกความหมายหนึ่งก็คือการทำหัวหอกไม่ใช่เรื่องง่าย ถ้าต้องการทำหัวหอกดีๆ สักอันก็ต้องใช้เวลากว่าครึ่งชีวิต!

บางคนถึงกับปลูกต้นอ่อนหนึ่งต้นขณะเรียนหอก จากนั้นก็ดูแลอย่างระมัดระวัง จนเมื่อต้นอ่อนโตจนได้ที่ก็ตัดมันออก แช่ในยาและใช้วิธีลับหลอมมันเข้าไปในด้ามหอก

แม้ว่าหัวหอกของซู่หยูเจี๋ยจะทำจากเหล็ก แต่ก็เป็นเหล็กชั้นดีที่โค้งงอได้ดี ไม่ได้ด้อยไปกว่าปลายหอกที่ต้องใช้เวลาทั้งชีวิตในการลับคม

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มังกรผู้ทรงพลัง