Martial God Asura เทพสายฟ้าราชาสงคราม นิยาย บท 14

สรุปบท บทที่ 14: Martial God Asura เทพสายฟ้าราชาสงคราม

อ่านสรุป บทที่ 14 จาก Martial God Asura เทพสายฟ้าราชาสงคราม โดย ShanLiangdeMiFeng

บทที่ บทที่ 14 คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายMartial Martial God Asura เทพสายฟ้าราชาสงคราม ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย ShanLiangdeMiFeng อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

  ใบหน้าของฉู่เฟิง ยังแขวนไว้ด้วยยิ้ม ทว่ารอยยิ้มของมันกลับดูมุ่งร้ายอย่างยิ่ง มันยกมีดสั้นขึ้น และเปล่งเสียงออก มาอย่างแผ่วเบา

  "หนึ่ง"

  "ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ"

  ก่อนสิ้นเสียง มีดสั้นของฉู่เฟิงก็เคลื่อนลงมาในทันที

  "ข้าผิดไปแล้ว"

  "ข้าผิดไปแล้ว ฉู่เฟิงข้าผิดไปแล้วจริง ๆ โปรดอภัยให้ข้าด้วย ได้โปรด… อย่าทำลายวรยุทธ์ข้าเลย ข้าขอร้อง…" ฉู่เฉิงร้องตะโกนออกมา ราวกับว่ามันคุ้มคลั่ง และน้ำเสียงของมันนั้นเจือไปด้วยเสียงสะอึกสะอื้น

  เมื่อเห็นปฏิกิริยาเช่นนั้น ฉู่เฟิงหยุดการเคลื่อนไหวและค่อนข้างตกใจ มันยิ้มเมื่อมองไปยังฉู่เฉิงในตอนนี้

  ฉู่เฟิงเห็นว่าฉู่เฉิงหลับตาทั้งสองข้าง ปรากฏน้ำตาสองสายไหลรินออกมาเปียกแก้มช้ำบวมของมัน ส่วนปากก็เอาแต่พร่ำพูดแต่คำขอขมาให้ยกโทษให้กับมัน

  มิใช่เพียงสีหน้าของมันเท่านั้นที่เจ็บปวด ทว่าทั้งร่างของฉู่เฉิงกำลังสั่นเทา และด้านล่างของมันปรากฏมีแอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่ส่งกลิ่นน่าสะอิดสะเอียนออกมา

  ฉู่เฟิงโยนมีดสั้นลงบนพื้น ค้นทั่วตัวฉู่เฉิงและฉู่เจินและ ในที่สุดก็พบโอสถทิพย์ชั้นต่ำที่เรียกว่า "หญ้าทิพย์พสุธา"

  จากนั้น ฉู่เฟิงก็ประจันหน้ากับฉู่เฉิง ตบแก้มมันอย่างเบามือ และกล่าวว่า "ดูเจ้าสิ ใครกันแน่คือสวะที่แท้จริง? ตอนนี้เจ้าควรรู้แจ้งแก่ใจได้แล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า" หลังเอ่ยวาจาเช่นนั้น ฉู่เฟิงก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา แล้วเดินจากไปอย่างสง่าผ่าเผย

  หลังฉู่เฟิงเดินจากไป ฉู่เฉิงกับฉู่เจินต่างช่วยกับประคับประคองกันเดินโซซัดโซเซฝ่าความมืดยามวิกาล ทว่าทั้งคู่ไปได้ไม่ไกลนัก ใบหน้างดงามก็โผล่ออกมาจากความมืด… ฉู่เยว่ นั่นเอง

  อย่างไรก็ตาม ใบหน้าอันงดงามของฉู่เยว่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ

  นางอึ้งไปพักนึง ก่อนพึมพำขึ้นมาว่า "ฉู่เฟิง เจ้าเป็นคนแบบไหนกันแน่ แล้วความแกร่งที่เจ้ามีมันคืออะไรกันแน่…"

  ฉู่เยว่หลับตาลงในทันใด และรำลึกถึงฉู่เฟิงในวัยเยาว์

  ไม่ว่าคนอื่นจะเย้ยหยันมันเพียงใด… มันไม่เคยโต้กลับ

  ไม่ว่าคนอื่นจะเหยียดหยามมันเพียงใด… มันไม่เคยเหยียดหยามผู้อื่น

  ใบหน้าของมันแขวนไว้ด้วยรอยยิ้มอยู่เสมอและนั่นทำ ให้ผู้คนที่พบเห็นรู้สึกเวทนา รอยยิ้มที่ทำให้คนอื่น ๆ รู้สึกสงสารมัน และอยากเข้ามาปกป้องมัน

  ในที่สุด ฉู่เยว่ก็ลืมตาขึ้นแล้วยิ้มออกมาในทันใด

  "บางทีพวกเราอาจจะผิดเองที่มองว่าเจ้าคือคนอ่อนแอ บางทีนี่อาจจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของเจ้า เจ้าไม่ต้องการให้คนอื่นมาปกป้องเจ้า เพราะตัวเจ้าเองแกร่งพอที่จะปกป้องคนอื่น ๆ"

  ในขณะเดียวกัน ฉู่เฟิงก็กลับมาถึงเรือนพัก มันหยิบหญ้าเซียนทิพย์สามต้นและหญ้าทิพย์พสุธาห้าต้นออกมา

  แม้ว่าหญ้าทิพย์พสุธาจะจัดว่าเป็นโอสถทิพย์ชั้นต่ำ แต่ก็เป็นของที่มีค่าแก่การฝึกยุทธ์ ฉู่เฟิงรู้สึกได้ในตอนที่มัน

  คว้าหญ้าห้าต้นนี้มาด้วย การหยิบฉวยหญ้าทั้งห้าต้นนี้มาก็ พอที่จะสร้างความรู้สึกเจ็บปวดให้กับฉู่เฉิงและฉู่เจินได้ดีทีเดียว

  "ดูเหมือนคำกล่าวที่ว่า 'การต่อกรกับคนชั่ว เจ้าจำเป็นจะต้องเป็นคนที่หยาบช้ากว่า' และ ‘การสนทนาเรื่องเหตุผล กับคนชั่วนั้นจำเป็นต้องใช้กำปั้น' จะเป็นความจริงสินะ"

  ฉู่เฟิงยิ้มออกมา มันไม่ได้รีบฝึกวรยุทธ์ในทันที แต่หยิบจดหมายของพี่ชายออกมาอ่าน

  ฉู่เฟิงเปิดจดหมายและแถวตัวอักษรที่คุ้นตาก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าของมัน… ลายมือของฉู่กูหยวี่นั่นเอง

  "น้องข้า ห้าปีผ่านไปแล้ว นับตั้งแต่เจ้าเข้าเป็นศิษย์สำนักมังกรคราม แล้วเราสองพี่น้องก็ไม่ได้พบกันมาแล้วห้าปี เช่นกัน”

  อีกไม่กี่วันนับจากนี้ การชุมนุมประจำตระกูลจะเริ่มขึ้น และปีนี้ ประมุขของตระกูลจะเกษียณจากวาระ เมื่อเขาลง จากตำแหน่ง ตระกูลเราจำเป็นต้องคัดเลือกประมุขคนใหม่ และท่านพ่อก็เป็นหนึ่งในผู้ลงสมัคร

  สำหรับท่านพ่อ วันนั้นเป็นวันสำคัญยิ่งนัก ดังนั้นข้าจึงหวังว่าเจ้าสามารถกลับมางานชุมนุมประจำตระกูลปีนี้และให้กำลังใจท่านพ่อเคียงข้างข้า"

  แม้ว่ามีข้อความเพียงไม่กี่บรรทัด ทว่าความหมายที่สื่อออกมาก็ชัดเจน ฉู่เฟิงครุ่นคิดถึงข้อความในจดหมาย

  เมื่อเทียบกับข้าวของของฉู่เฟิงแล้ว ของที่ฉู่เยว่นำติด ตัวมานั้นเรียบง่ายกว่ามาก นางมีเพียงถุงคาดเอว แถมยังสวมชุดที่เหมือนกันกับเมื่อวาน

  "ฉู่เยว่ เหตุใดท่านพี่จึงไม่นำเสบียงติดตัวมาด้วย? ฤดูล่าโอสถทิพย์ยาวนานถึงสิบวันเชียวนะ แล้วท่านพี่จะกินอยู่อย่างไร?" ฉู่เฟิงถามด้วยความงุนงง

  "ตัวโง่งม อย่าลืมสิว่าพวกเราเป็นกลุ่มพันธมิตร ข้ารับหน้าที่เพียงแค่ล่าโอสถทิพย์เท่านั้น งานหนักอย่างแบกหามเสบียงนั้นเป็นหน้าที่ของคนอื่น ๆ"

  ฉู่เยว่ชี้นิ้วไปอีกทางหนึ่งตอนที่นางตอบคำถาม สมาชิกของพันธมิตรตระกูลฉู่หลายคนรวมตัวกันอยู่ที่นั่น ฉู่เฟิงเคยเห็นหน้าพวกมันมาแล้วเมื่อวานนี้

  อันที่จริง มีสมาชิกสามคนหามถุงขนาดยักษ์ ซึ่งต้องเป็นเสบียงเป็นแน่

  "ฉู่เฟิง พันธมิตรของเราจะแยกออกเป็นกลุ่ม ๆ เพื่อจะ ล่าโอสถทิพย์ หลังจากเข้าไปในหุบเขาแล้ว เราจะแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม ในแต่ละกลุ่มจะมีคนที่รับหน้าที่แบกเสบียง บางคนรับหน้าที่คุ้มกันโอสถทิพย์ ส่วนข้ารับหน้าที่ในการล่าโอสถทิพย์นั่นเอง การแบ่งงานนั้นจำแนกตามความแข็งแกร่ง และการแบ่งกลุ่มของโอสถทิพย์ ก็จำแนกตามกฎเกณฑ์นั้นเช่นเดียวกัน" ฉู่เยว่อธิบายรายละเอียดให้ฉู่เฟิงฟัง

  จากคำอธิบายนั้นทำให้ฉู่เฟิงเข้าใจกระบวนการล่าโอสถทิพย์อย่างถ่องแท้ และมันได้เรียนรู้ประโยชน์ของการล่าเป็นกลุ่มอีกด้วย

  โอสถทิพย์นั้นมีดวงจิต ดังนั้นก่อนที่จะถูกล่า พวกมันจะสามารถหลบหนีได้ หากไม่มีความแข็งแกร่งพอจึงเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะล่าโอสถทิพย์ได้ด้วยตัวคนเดียว

  นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมศิษย์ส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มพันธมิตรต่าง ๆ นั่นก็เป็นเพราะถ้าวัดกันที่ความแข็งแกร่ง พละกำลังของกลุ่มย่อมมีมากกว่ากำลังของคนเพียงคนเดียวแน่นอน

  หลังจากอธิบายขั้นตอนการล่าโอสถทิพย์แล้ว ฉู่เยว่ก็พาฉู่เฟิงไปยังบริเวณที่กลุ่มพันธมิตรตระกูลฉู่รวมตัวกัน

  เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ฉู่เฟิงก็พบว่ามีสมาชิกของกลุ่มหายไปหนึ่งคน แน่นอนว่าคนนั้นต้องเป็นฉู่เฉิง

  เมื่อวาน ฉู่เฉิงพ่ายแพ้ฉู่เฟิงอย่างราบคาบ ใบหน้าของมันแปรสภาพเป็นคล้ายหัวหมู ดังนั้นมันจึงมิมีหน้าตามาพบ ปะผู้คนได้ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมมันจึงยอมทิ้งโอกาสในการล่าโอสถทิพย์ที่หาได้ยากยิ่ง

  นอกจากฉู่เฉิงแล้ว ฉู่เฟิงยังมองเห็นใบหน้าที่คุ้นตาอีกใบหน้าหนึ่ง นั่นก็คือฉู่เจินนั่นเอง

  ทว่าฉู่เจินในตอนนี้ไม่หลงเหลือความหยิ่งผยองอันใดอีกต่อไป มันก้มหน้าและไม่ปริปาก ดูราวกับว่ามันพลาดผิดหวังครั้งใหญ่จากอะไรบางอย่างและช่างแลดูรู้สึกหดหู่สิ้นดี

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Martial God Asura เทพสายฟ้าราชาสงคราม