Martial God Asura เทพสายฟ้าราชาสงคราม นิยาย บท 20

สรุปบท บทที่ 20: Martial God Asura เทพสายฟ้าราชาสงคราม

บทที่ 20 – ตอนที่ต้องอ่านของ Martial God Asura เทพสายฟ้าราชาสงคราม

ตอนนี้ของ Martial God Asura เทพสายฟ้าราชาสงคราม โดย ShanLiangdeMiFeng ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายMartialทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 20 จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

  "บัดซบ ไอ้เจ้าบ้านี่มันเป็นลิงกลับชาติมาเกิดหรืออย่างไร? ทำไมมันถึงว่องไว้ได้ปานนั้น?"

  "เด็กน้อยนี่ไม่ธรรมดาจริง ๆ อายุเพียงเท่านี้ แต่กลับแข็งแกร่งได้ขนาดนั้น แถมมันยังหลบเพลงกระบี่ของบิดาได้อีก มันต้องมีพรสวรรค์มิน้อย"

  "มิผิด นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นคนใช้ฝ่ามือมายาด้วยพลังระดับนั้น ถ้ามันยังฝึกฝนต่อไปเรื่อย ๆ ล่ะก็ เราคงมิอาจคาดถึงความสามารถของมันในอนาคตได้แน่ ๆ"

  "หากเป็นเช่นนั้น เรามิอาจปล่อยให้มันมีลมหายใจออกไปจากที่นี่ ไม่อย่างนั้นมันคงจะสร้างปัญหาให้เรามิรู้จบรู้สิ้นแน่นอน"

  ยิ่งพวกมันทั้งสามเข้าใจความแข็งแกร่งของฉู่เฟิงมากเท่าไหร่ พวกมันก็เพิ่มความอำมหิตมากขึ้นเท่านั้น พวกมันตัดสินใจแล้วว่าจะสังหารฉู่เฟิงในหุบเขาโอสถทิพย์นี้

  "ทั้งสามคนนั้นว่องไวเหลือเกิน ข้าคงมิอาจหนีพวกมันพ้นได้"

  ในขณะเดียวกันฉู่เฟิงก็ไม่รู้จะพรรณนาความแข็งแกร่งของทั้งสามคนได้อย่างไรเช่นกัน แม้ว่ามันจะแข็งแกร่งกว่าคน ที่มีพลังในห้วงระดับเดียวกัน แต่เมื่อต้องปะทะกับคนที่พลังทิพย์ยุทธ์สูงกว่า มันก็รู้สึกว่าตัวเองอ่อนด้อยลงไม่ต่างกัน

  แต่โชคดีที่ฉู่เฟิงมีพลังทิพย์ยุทธ์อยู่สั่งสมอยู่ในจุดตันเถียนไม่น้อย มันเชื่อว่าถ้ามันยังวิ่งต่อไปเรื่อย ๆ ทั้งสามคนนั้นคงจะล้วนหยุดตามไปเองด้วยพละกำลังที่ลดลง

  อย่างไรก็ตาม ฉู่เฟิงครุ่นคิดถึงปัญหาที่จะตามมา พันธ มิตรกระบี่มิใช่กลุ่มคนเล็กน้อย ในภายภาคหน้าเมื่อมันออกจากหุบเขาโอสถทิพย์ จะต้องเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นแน่นอน หาก ว่าทั้งสามมิยอมปล่อยวาง และใช้พลังอำนาจของกลุ่มพันธมิตรกระบี่กลับมาคุกคามมัน

  นั่นคือสาเหตุที่ฉู่เฟิงกำลังลังเลใจอยู่เช่นกันว่า มันควรทำอย่างไรระหว่าง "จัดการให้เด็ดขาดหรือปล่อยไป" มันควรใช้เคล็ดวิชาสามอัสนีบาตจัดการปิดปากทั้งสามคนนั่นเสีย หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องปล่อยมันเหล่านั้นไป

  แต่ในท้ายที่สุด มันก็โยนความคิดนั้นทิ้งไป อย่างไรก็ตามการสังหารศิษย์ร่วมสำนักถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรง และหากมีการค้นพบร่องรอยหลักฐาน ก็มีโอกาสเป็นไปได้ที่ตระกูลฉู่ทุกคนจะได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้

  "ขวับ"

  แต่ในทันใดนั้นเอง ฉู่เฟิงก็ต้องประหลาดใจ เมื่อลำแสงสีขาวปรากฏขึ้นล้อมรอบตัวมัน

  เนื่องจากตะวันเริ่มตกดินและท้องฟ้าเริ่มมืดมิด เมื่อลำแสงสีขาวปรากฏขึ้นมานั้น จึงทำให้มันดูประหลาดผิดธรรมดาและน่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง

  "นี่มัน…"

  แสงสีขาวนั้นสว่างขึ้นเรื่อย ๆ และทำให้ทั้งป่าสว่างไสวราวกับกลางวัน แต่สิ่งที่ทำให้ฉู่เฟิงประหลาดใจนั้นกลับเป็นอัฐิสีขาวนับไม่ถ้วนที่ปรากฏอยู่ล้อมรอบตัวมัน

  อัฐิสีขาวนั้นอัดแน่นและกองพะเนินไปทั่วทั้งผืนป่า ราวกับเป็นมหาสมุทรที่ไร้จุดสิ้นสุด

  อัฐิเหล่านั้นมีความพิเศษ นอกจากมันจะมีสีขาว บริสุทธิ์ราวกับหยกแล้ว มันยังเปล่งรังสีที่รุนแรงออกมาอีกด้วย

  ฉู่เฟิงรู้สึกอึดอัดเมื่อมันถูกรังสีที่แผ่ออกจากอัฐินับไม่ถ้วนกดทับซ้อนเข้ามาเรื่อย ๆ แต่ละก้าวของมันดูหนักอึ้งและร่างกายมันก็เริ่มอ่อนแรง

  "สถานที่แห่งนี้มันอะไรกัน?"

  ฉู่เฟิงประหลาดใจอย่างยิ่ง อัฐิที่ไม่ธรรมดาเหล่านี้ย่อมมิใช่ของคนธรรมดาเป็นแน่ นั่นหมายความว่าคนที่เป็นเจ้า ของพวกมันต้องมีระดับเป็นปรมาจารย์เลยทีเดียว

  คนที่ฝึกวรยุทธ์จนพลังถึงระดับหนึ่ง เมื่อชีพวางวายไป อัฐิจะไม่สลายผุพัง แต่อัฐิเหล่านั้นจักเปลี่ยนเป็นสีขาวราวกับ หยก แถมยังประจุไว้ด้วยพลังงานที่แฝงความกดดันที่คุกคามคนที่ย่างกลายเข้ามาใกล้

  มีหลายเรื่องที่ฉู่เฟิงมิอาจทำความเข้าใจ มิใช่แค่เรื่องที่ว่าปรมาจารย์มากมายเหล่านี้มาจากที่ใดกันเท่านั้น แต่การที่มีอัฐิสีขาวปรากฏขึ้นปกคลุมทั่วบริเวณนี้เป็นเรื่องที่ผิดปกติ อย่างยิ่ง แถมหุบเขาโอสถทิพย์ยังเป็นดินแดนต้องห้ามอีกด้วย ในทุก ๆ วัน เหล่าผู้อาวุโสที่รับหน้าที่เฝ้าด่านประตูจะออกลาดตระเวนไปรอบ ๆ แล้วใครกันที่เอาอัฐิสีขาวมาทิ้งไว้ที่นี่โดยที่ผู้เฝ้าด่านประตูทางเข้าเหล่านั้นมิอาจรู้ตัว?

  เพิ่มเติมจากความประหลาดใจ ฉู่เฟิงเริ่มวิตกกังวล ยิ่งมันคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นนี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดูเหมือนว่ามันยิ่งคิดผิดที่ผิดทาง ยิ่งคิดมันก็สั่นเทิ้มไปจนถึงกระดูกสันหลัง ฉับ พลัน มันรู้สึกกลับเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบห้าธรรมดา การที่ถูกกักไว้ในผืนป่ามืดมิดเช่นนี้ ย่อมสร้างความความหวาดกลัว แก่มัน

  "นี่มัน…"

  ทันใดนั้น ฉู่เฟิงตาลุกโพลง มันยิ่งตกตะลึงเมื่อพบว่ามี เงาร่างหนึ่งค่อย ๆ เดินอย่างเชื่องช้าอยู่ท่ามกลางกองอัฐิสีขาวเหล่านั้น

  "ข้าขอถามได้ไหมว่าที่นี่คือสุสานหมื่นอัฐิจริงหรือไม่?" ฉู่เฟิงมองไปทางผู้อาวุโสปริศนาที่ถือแส้ในมือ

  แม้ว่ามันจะมิอาจสัมผัสรังสีอื่นใดจากผู้อาวุโสรายนี้ได้ แต่เพียงมองจากภายนอกก็รู้ได้เลยว่า คนผู้นี้มิใช่ธรรมดา มิ ต้องสงสัยเลยว่ามันคือหนึ่งในคนสำคัญของสำนักมังกรคราม อย่างแน่นอน

  แต่สิ่งที่ยังทำให้ฉู่เฟิงรู้สึกสับสนก็คือ ผู้อาวุโสท่านนั้นจ้องมองมาที่มันอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าจะยังไม่เอ่ยวาจาใด แต่ ก็ปรากฏรอยยิ้มแขวนขึ้นตรงมุมปากของผู้อาวุโส

  "เฮ้ย เจ้าพูดกับใครอยู่?"

  "เจ้าคนชั่วช้า เจ้ากำลังหลอกล้อพวกข้ารึ"

  ใบหน้าของสมาชิกพันธมิตรกระบี่ทั้งสามคนล้วนซีดเผือด เมื่อได้ยินฉู่เฟิงพูดจากับความว่างเปล่า

  "พวกเจ้าไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังคุยกับใคร?" ฉู่เฟิงชี้ไป ยังผู้อาวุโสที่กำลังยืนอยู่ไม่ไกล

  "ใครกัน? ไอ้สารเลว ได้เวลาตายของเจ้าแล้ว" ชายที่มี แผลฝีหนองยกกระบี่ขึ้นเพื่อเตรียมเข้าโจมตีฉู่เฟิง

  "ข้าว่าอย่าไปยุ่งกับมัน มีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นกับมันแล้ว พวกเราควรไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด" ก่อนที่จะปล่อยให้ชายคนนั้นพุ่งโจมตีฉู่เฟิง ชายอีกสองคนที่เหลือก็กระชากไหล่มัน แล้วลากตัวกลับไปยังทิศทางที่พวกมันจากมา

  "วี๊ด"

  และในตอนนั้นเอง เสียงทำลายโสตประสาทก็ดังระงม ขึ้นรอบทิศทาง เสียงนั้นแปลกประหลาด น่าหวาดผวา ราวกับ ว่าดวงวิญญาณนับล้านกรีดร้องโหยหวน เพื่อทวงถามความยุติธรรม

  และฉู่เฟิงก็ต้องประสบกับความตื่นตระหนก เมื่อพบว่ามีหมอกควันสีเขียวเข้มลอยขึ้นมาจากอัฐิสีขาวที่ล้อมอยู่รายรอบ และเสียงกรีดร้องก็ดังมาจากหมอกควันเหล่านั้นนั่นเอง

  ทว่าสิ่งที่ทำให้ฉู่เฟิงรู้สึกกระวนกระวายมากกว่านั้นก็คือ หมอกควันสีเขียวเข้มอันแปลกประหลาดเหล่านั้นกำลังลอยมาทางฉู่เฟิงและคนอื่น ๆ…

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Martial God Asura เทพสายฟ้าราชาสงคราม