Martial God Asura เทพสายฟ้าราชาสงคราม นิยาย บท 7

สรุปบท บทที่ 7: Martial God Asura เทพสายฟ้าราชาสงคราม

สรุปเนื้อหา บทที่ 7 – Martial God Asura เทพสายฟ้าราชาสงคราม โดย ShanLiangdeMiFeng

บท บทที่ 7 ของ Martial God Asura เทพสายฟ้าราชาสงคราม ในหมวดนิยายMartial เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย ShanLiangdeMiFeng อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

  ปรากฏว่าเป็นผู้อาวุโสโอวหยาง นั่นเอง ที่เป็นคนลงบันทึกการยืมคัมภีร์ของฉู่เฟิง

  นอกจากนั้นตัวมันเองยังมีอีกตำแหน่งหนึ่ง คือเป็นผู้คุมกฎของหอฝึกวรยุทธ์อีกด้วย

  วูบหนึ่งมันรู้สึกว่าผู้ที่ทำลายเสากลไกนี้อาจจะเป็นฉู่เฟิงก็เป็นได้ ทว่าหลังจากครุ่นคิดตรึกตรองสักพัก มันกลับคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้

  หลังจากพิจารณาแล้ว ฉู่เฟิงเพิ่งฝึกฝ่ามือมายาได้เพียงสิบวัน ในเวลาเพียงเท่านี้ เป็นไปไม่ได้ที่เด็กเมื่อวานซืนเช่นนั้นจะใช้พลังไร้เทียมทานระดับนั้นได้

  "ผู้อาวุโสโอวหยาง ดูนี่สิขอรับ" ในขณะที่ผู้อาวุโสคิ้วขมวดมุ่นพลางกำลังขบคิด และไม่อาจทำความเข้าใจกับเรื่องที่เพิ่งเกิดสด ๆ ร้อน ๆ ได้ พลันมีเสียงเรียกออกมาจากห้องลับที่อยู่ข้างๆ

  ทว่าในครานี้เสากลไกในห้องแรกมิได้มีความสำคัญอีกต่อไปแล้ว ชั่วขณะนั้นอาวุโสโอวหยางตกตะลึงพลึงเพลิดอีก

  ครั้ง เนื่องจากเสากลไกในห้องลับที่อยู่ติดกัน ถูกทำลายลงอย่างราบคาบ

  "นี่มัน เคล็ดวิชาสามอัสนีบาต กระบวนท่าที่สอง"

  "ไม่มีศิษย์นอกสำนักผู้ใดฝึกกระบวนท่านี้ได้" ในตอนนี้อาวุโสโอวหยางเริ่มเคร่งเครียดยิ่งขึ้น

  วิชากระบวนท่าสามอัสนีเป็นเคล็ดวิชาที่มีเพียงศิษย์ฝ่ายในเท่านั้นที่สามารถฝึกฝนได้ ทว่าตอนนี้กลับปรากฏว่า มีศิษย์ฝ่ายนอกสามารถใช้เคล็ดวิชานี้ นั่นหมายความว่าอาจ มีศิษย์ฝ่ายในที่ปลดปล่อยเคล็ดวิชานี้ให้รั่วไหลออกไปยังนอกสำนักก็เป็นได้

  ทว่าหลังจากอาวุโสโอวหยางพินิจอย่างถ้วนถี่แล้ว มัน กลับรู้สึกว่าไม่มีทางที่เรื่องบ้าเช่นนี้จะเกิดขึ้น สำนักมังกรครามนั้นมีกฎอันเข้มงวดเลื่องลือทั่วทั้งยุทธจักร หากมีผู้ใด แอบนำคัมภีร์ออกไปภายนอกสำนัก ก็ต้องรู้ได้ไม่ยากนัก ไม่มีศิษย์ฝ่ายในคนใดจะทำเรื่องงี่เง่าเช่นนี้หรอก

  "มีความเป็นไปได้ว่า…" ในที่สุดอาวุโสโอวหยางก็มองเห็นความเป็นไปได้บางอย่าง มันพูดกับผู้อาวุโสที่ยืนอยู่ด้านหลัง "ตามผู้อาวุโสซูโหรวให้ข้าที"

  ในคราเดียวกัน ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเท่าใด ฉู่เฟิงเอง ก็กำลังฝึกฝนวรยุทธ์อยู่ในห้องของตน

  หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง ฉู่เฟิงยังคงหลอมรวมหญ้าเซียนทิพย์เข้ากับร่างของมันต่อไปเรื่อย ๆ หากมีใครมาเห็นภาพเช่นนี้ คงไม่อาจเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดออกมาได้

  แม้กระทั่งผู้มีวรยุทธ์แก่กล้าเพียงใด ก็ยังต้องใช้เวลาใน การหลอมรวมหญ้าเซียนทิพย์ไม่น้อยกว่าหนึ่งวัน แต่ทว่า ฉู่เฟิงกลับใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น

  นอกจากนี้หญ้าเซียนทิพย์ที่ฉู่เฟิงหลอมรวมนั้นยังเข้าไปสถิตที่จุดตันเถียนโดยมิมีส่วนใดสูญเปล่าแม้แต่น้อย

  กระทั่งจอมยุทธ์ผู้แก่กล้าวิชายังไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ กล่าวได้ว่าเมื่อคนธรรมดาหลอมรวมหญ้าเซียนทิพย์เข้ากับร่างกายแล้วสามารถดูดซับพลังวิญญาณได้สักครึ่งหนึ่งก็นับว่าดีแล้ว

  “ดูเหมือนว่าราคาที่ข้าต้องจ่ายให้กับพลังนี้ช่างมาก มายยิ่งนัก" แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

  นั่นก็เพราะว่า หลังจากที่หลอมรวมหญ้าเซียนทิพย์สามต้น มันไม่สามารถสัมผัสพลังงานใดได้เลย กลับรู้สึกเหมือนว่าจุดตันเถียนนั้นยังคงว่างเปล่า

  หากว่ามันเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญมันก็คงมิอาจรู้สึกเช่นนั้น และสำหรับคนธรรมดาการได้ซึมซับพลังทิพย์ยุทธ์จากหญ้าเซียนทิพย์ทั้งสามต้น ไม่แน่ว่ามันอาจจะก้าว

  กระโดดจากหลังทิพย์ยุทธ์ห้วงที่สี่ ไปสู่พลังทิพย์ยุทธ์ห้วงที่ห้าก็เป็นได้

  แต่นั่นคือปัญหา แม้ว่าสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์จะทำให้ ฉู่เฟิงแข็งแกร่งเกินมนุษย์ทั่วไป ทว่าการจะเพิ่มพลังยุทธ์แต่ละ ครั้งนั้นมันจำเป็นต้องจ่ายราคาค่างวดที่มากกว่าคนธรรมดา เช่นกัน

  แม้ว่ามันจะสามารถหลอมรวมพลังวิญญาณได้ ทว่าการเคี่ยวกรำฝึกฝนวรยุทธ์อย่างหนักหน่วงในรอบเดือนที่ผ่านมา ทำให้พลังวิญญาณที่ได้จากหญ้าเซียนทิพย์เพียงต้นเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป

  หากมันต้องการพัฒนาวรยุทธ์ต่อไปในระดับที่สูงขึ้น สิ่งนี้จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคตอย่างแน่แท้

  "อืม นี่สินะที่เขาว่ากันว่า 'ทุกอย่างล้วนมีราคาค่างวด'?"

  ฉู่เฟิงมองหญ้าเซียนทิพย์อีกสองต้นที่อยู่หัวเตียง มันอยากดูดซับพลังที่ทรงคุณค่าเหล่านั้นเหลือเกิน แต่มันก็มิอาจทำเช่นนั้นได้ เพราะมันวางแผนว่าจะนำไปให้ฉู่เย่ว

  "ถ้าฉู่เย่วได้ดูดซับพลังจากหญ้าเซียนทิพย์สองต้นนี้ พลังทิพย์ยุทธ์ของนางจะก้าวกระโดดสู่ห้วงที่ห้าในไม่ช้า ข้าควรนำหญ้าเซียนทิพย์สองต้นนี้ไปส่งให้ถึงมือนาง" หลัง

  จากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มันก็ตัดสินใจปล่อยวางหญ้าเซียนทิพย์สองต้นนั้น ดับเทียนแล้วล้มตัวลงนอน

  รุ่งเช้าวันถัดมา ดวงตะวันใหญ่มหึมาลอยเด่นเหนือฟากฟ้า ฉู่เฟิงรีบตื่นแต่เช้า มันซุกเก็บหญ้าเซียนทิพย์ไว้ในอกเสื้อ แล้วรีบไปตามหาตัวฉู่เย่ว

  ทว่าสำนักฝ่ายในนั้นกว้างใหญ่ไพศาล และว่ากันว่าจำนวนศิษย์ในสำนักนั้นมีมากกว่าศิษย์นอกสำนักหลายเท่านัก อย่างน้อยก็ไม่น่าจะต่ำกว่าหนึ่งแสนคน

  "ว่ากันตามตรงนะ การล่าโอสถเซียนทิพย์ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ด้วยตัวคนเดียว ดังนั้นข้าเลยแนะนำให้เจ้าเข้าร่วมกับพันธมิตรใดพันธมิตรหนึ่งดีกว่า" ศิษย์พี่ทั้งสองคนให้คำชี้แนะมันอย่างมีน้ำใจ

  พันธมิตรที่ว่านั้นคือกลุ่มที่บรรดาศิษย์ฝ่ายในร่วมกันก่อตั้งขึ้น เพราะกลุ่มเหล่านี้จะสร้างความสมัครสมานสามัคคี ระหว่างศิษย์ที่เป็นสมาชิกอยู่ในกลุ่ม ดังนั้นสำนักมังกรครามจึงไม่ได้ห้าม แต่ตรงกันข้ามทางสำนักกลับสนับสนุนให้เกิดพันธมิตรขึ้นด้วยซ้ำ

  "ศิษย์พี่ ด้วยข้าพึ่งเข้ามาเป็นศิษย์ฝ่ายใน ข้าจึงยังไม่เข้าใจเรื่องเกี่ยวกับพันธมิตรกระจ่างเท่าใดนัก ข้าสงสัยว่าพันธมิตรใดในสำนักฝ่ายในที่แข็งแกร่งกันเล่า?" ฉู่เฟิงถาม ด้วยความสงสัยใคร่รู้

  "ฮ่า ๆ เจ้าถามถูกคนแล้ว พวกข้าทั้งคู่ตรวจสอบพันธมิตรต่าง ๆ ในสำนักฝ่ายในเอาไว้มากมาย"

  "จากการตรวจสอบของพวกข้าในนี้มีพันธมิตรต่าง ๆ อยู่ราว ๆ หนึ่งพันกลุ่ม และนามของกลุ่มพันธมิตรที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือ 'พันธมิตรโลกา' และ 'พันธมิตรกระบี่' นั่นเอง"

  "กลุ่มพันธมิตรโลกานั้นมีสมาชิกมากที่สุด ตอนนี้มีอยู่ราวห้าพันคน ตรงนั้นมีอยู่สองสามคนที่สักคำว่า 'โลกา' บนแผ่นหลัง และพวกมันเป็นสมาชิกของกลุ่มพันธมิตรโลกา"

  "ส่วนกลุ่มพันธมิตรกระบี่มีสมาชิกน้อยกว่า น่าจะราวหนึ่งพันคน ทว่ากลุ่มพันธมิตรนี้ค่อนข้างพิเศษ ถ้าเจ้าอยากเข้าร่วมกลุ่มนี้ ก็ต้องฝึกวรยุทธ์ที่ใช้กระบี่เป็นอาวุธ กลุ่มคน ตรงนั้นที่มีกระบี่โลหะสีดำสะพายอยู่บนหลังคือสมาชิกของพันธมิตรกระบี่"

  "การที่พันธมิตรทั้งสองกลุ่มได้รับการกล่าวขานว่าแข็งแกร่งที่สุด ไม่ใช่เพราะว่าพวกมันมีสมาชิกเยอะเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะผู้ก่อตั้งกลุ่มพันธมิตรทั้งสองล้วนเป็นศิษย์ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในสำนักมังกรครามของเราต่างหาก"

  "ทั้งสองคนเป็นศิษย์ที่โดดเด่นตั้งแต่สิบปีที่แล้ว และกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในสำนักของเรา ด้วยการสนับสนุนของพวกมัน ผู้คนจำนวนน้อยจึงกล้าที่จะแสดงท่าทีต่อต้านสมาชิกของกลุ่มพันธมิตรโลกาและพันธมิตรกระบี่"

  "ท่านพี่ ท่านกล่าวผิดไปส่วนหนึ่ง แม้ว่าพันธมิตรโลกาและพันธมิตรกระบี่จะเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่ง แต่ข้ากลับคิดว่าพันธมิตรที่แข็งแกร่งที่สุดคือ พันธมิตรแห่งปีก" ในขณะที่ศิษย์ผู้พี่ที่สูงอาวุโสกว่ากำลังอธิบายอย่างออกรสและมีชีวิตชีวา ศิษย์พี่อีกคนที่อ่อนวัยกว่าก็ครุ่นคิดบางอย่างขึ้นมา และพูดขัดจังหวะในทันที

  "แม้ว่ากลุ่มพันธมิตรแห่งปีกจะแข็งแกร่งเพียงใด ทว่าพวกมันกลับมีสมาชิกแค่หยิบมือเดียว ‘สองกำปั้นมิอาจต่อกร สี่มือ' และถ้าพวกมันเกิดความขัดแย้งกันขึ้นมาจริง ๆ พวกมันมิอาจเป็นคู่ต่อกรของพันธมิตรโลกากับพันธมิตรกระบี่ได้เลยด้วยซ้ำ" ผู้เป็นพี่ส่ายศีรษะ

  "อาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ แม้ว่าพันธมิตรแห่งปีกจะมีสมาชิกเพียงหยิบมือเดียว แต่พวกมันก็เปรียบเสมือนมังกรใน ร่างมนุษย์ พวกมันเพียงคนเดียวก็มีความสามารถมากพอที่จะต่อกรกับคนนับร้อย ข้ารู้สึกว่าแม้พันธมิตรโลกากับพันธ

  มิตร กระบี่จะร่วมมือกัน พวกมันก็มิอาจโค่นพันธมิตรแห่งปีก ลงได้" น้องชายสวนกลับ

  "พันธมิตรแห่งปีกนี่คือใครกัน?" เมื่อเห็นว่าสองพี่น้องมีที่ท่าว่าจะถกเถียงกันไม่ยอมหยุด ยิ่งฟังฉู่เฟิงก็ยิ่งกังขา มีความสงสัยใคร่รู้มากขึ้น

  "ศิษย์น้อง ฟังข้านะ พันธมิตรแห่งปีกคือตำนานของ สำนักเรา" เมื่อเห็นเช่นนั้น ผู้เป็นน้องก็เริ่มเล่าเรื่องราวความเป็นมาจนน้ำลายเริ่มแตกฟอง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: Martial God Asura เทพสายฟ้าราชาสงคราม