มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 114

ในมือของหลัวซิวยังคงถือกระบี่เปื้อนเลือดเอาไว้ เขารีบไล่ตามมาโดยยังไม่ได้เช็ดเลือดที่เปื้อนมุมปากออก เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่น สภาพตอนนี้ดูสะบักสะบอม

“ฮ่าๆ มีทางดีๆ ให้เดินตั้งหลายทาง แต่แกกลับเลือกเดินเข้ามาในประตูนรกซะเอง!”

เมื่อเถียนกวงโหย่วเห็นหลัวซิว เขาก็เงยหน้าหัวเราะร่า แล้วกล่าวด้วยสีหน้าอำมหิต “ส่งผลโหวหยางมาซะดีๆ แล้วฉันจะไม่ทำลายซากศพแกทิ้ง”

เขาเป็นจอมยุทธ์ชี่ไห่ระดับเจ็ด เขาจึงไม่เห็นจอมยุทธ์ชี่ไห่ระดับห้าอยู่ในสายตา

การที่เถียนกวงโหย่วไม่มีสมองไม่ได้หมายความว่า จางไห่เฟยกับเหมียวเฟยเฟยจะโง่ตามเขาไปด้วย

จางไห่เฟยเห็นกระบี่เปื้อนเลือดที่อยู่ในมือของหลัวซิวก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างขึ้น

“อยากได้ผลโหวหยางรึ ได้สิ”

หลัวซิวอมยิ้มพลางกล่าวอีกว่า “แต่ต้องแลกด้วยชีวิตของแก”

ตอนที่ได้ยินครึ่งประโยคแรก เถียนกวงโหย่วกำลังจะกล่าวชมออกไปว่าเขาเป็นเด็กที่ว่าง่ายดีมาก แต่เมื่อได้ยินประโยคหลัง อารมณ์ของเขาจึงเกรี้ยวกราดขึ้นมา เขาวิ่งเข้าใส่หลัวซิวพลางกุมกระบี่ในมือเอาไว้

“ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ตายซะเถอะ!”

กระบี่ในมือของเขาเปล่งประกายวิบไหว แรงอาฆาตของเถียนกวงโหย่วพลุ่งพล่าน เขาเตรียมลงมืออย่างดุเดือด

“ฟึ่บ!”

หลัวซิวแกว่งไกวกระบี่ยุทธ์ในมือ ลำแสงหนาวยะเยือกของกระบี่ยุทธ์นำพามาซึ่งโลหิตสีแดงฉาน

ดวงตาของเถียนกวงโหย่วเบิกกว้าง ร่างของเขาหยุดชะงักลง โลหิตพุ่งกระชูดออกมาจากลำคอของเขาก่อนจะล้มคว่ำลงไปนอนจมในกองเลือด

กระบี่ในมือของเขาหักออกเป็นสองชิ้น

ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นเอง หลัวซิวได้ใช้กระบี่ฟันไปที่กระบี่ของเขา จากนั้นจึงแทงเข้าที่ลำคอเพียงครั้งเดียวและปลิดชีวิตเขาลงในทันที

เหมียวเฟยเฟยเห็นดังนั้นสีหน้าของเธอจึงซีดเผือด เธอหันตัววิ่งหนีไปทันทีโดยไม่พูดไม่จาแล้วหายตัวเข้าไปในป่าที่มีต้นไม้ขึ้นรก

จากไห่เฟยเองก็อยากจะหนีเช่นกัน การลงมือของหลัวซิวเมื่อครู่นั้นทำให้เขาหวาดผวา การฝึกตนของหมอนี่ต้องไม่ใช่แค่ชี่ไห่ระดับห้าอย่างแน่นอน อีกอย่างกระบี่ยุทธ์เล่มนั้นของเขายังสามารถฟันกระบี่ชั้นล่างขาดได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ แสดงว่าจะต้องเป็นของนักยุทธ์ชั้นสูงอย่างแน่นอน

เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาเป็นคนควบคุม เพื่อกำจัดอสูรงูปีกเขียว ดังนั้นตอนนี้เขาจึงสูญเสียปราณแท้ของตนไปหมด แม้ว่าเขาจะกินยาฟื้นฟูเข้าไปแล้ว แต่ก็ฟื้นฟูกลับมาได้เพียงบางส่วนเท่านั้น หากเขาหนีไม่พ้นก็คงถูกจับตัวได้แน่ ดังนั้นเขาจึงหันไปหวังจะคว้าตัวลู่เมิ่งเหยาเอาไว้

ทว่าแม้ว่าหลัวซิวจะรู้ตัวช้ากว่า แต่ก็ยังเคลื่อนไหวได้เร็วกว่า

แสงกระบี่ลอยทะลุแหวกอากาศ ตอนนั้นสีหน้าของจางไห่เฟยแปรเปลี่ยน เขาจึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะจับตัวลู่เมิ่งเหยาไปในทันที

สีหน้าของหลัวซิวไร้ความรู้สึก เขายื่นกระบี่ยุทธ์ออกไปตัดคอของจางไห่เฟยอย่างเด็ดขาดไร้ความปรานี

จางไห่เฟยรีบใช้ค่ายกลรูประฆังคว่ำออกมาจนเกิดเป็นม่านสีขาวสว่างปกคลุมรอบตัวของเขาเอาไว้

กระบี่ยุทธ์ของหลัวซิวปะทะเข้ากับม่านลำแสงนั้น ทำให้ม่านลำแสงสั่นสะเทือนราวสายน้ำ แต่ยังคงไม่ฉีกขาด จางไห่เฟยจึงใช้โอกาสนี้หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว

ในฐานะที่เป็นนักค่ายกลระดับ 3 การต่อสู้ของจางไห่เฟยสามารถเทียบเท่าได้กับจอมยุทธ์พรสวรรค์ หากเขาอยู่ในสภาวะที่สมบูรณ์เต็มที่ เขาไม่มีทางกลัวหลัวซิวอย่างแน่นอน แต่เวลานี้เขาจำเป็นต้องหนี

อีกอย่างตอนนี้สมบัติค่ายกลที่เขาใช้คือผังค่ายระดับ 3 แต่หลัวซิวใช้กระบี่ยุทธ์ฟันลงไปเพียงครั้งเดียว ม่านลำแสงของผังค่ายก็ค่อยๆ จางลง คาดว่าหากฟันลงไปอีกสักครั้ง ม่านลำแสงของผังค่ายก็คงจะแตกกระจุย

รูปการณ์เช่นนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่ากระบี่ยุทธ์ในมือของหลัวซิวจะต้องอยู่ในระดับสูงแน่นอน และอาจจะเหนือกว่าขอบเขตของนักยุทธ์ไปแล้ว หรือว่านี่จะเป็นกระบี่ยุทธ์ดิน?

จางไห่เฟยยังหนีไปได้ไม่ไกลนัก หลัวซิวก็ไล่ตามมาทันและกระบี่ยุทธ์ดินก็พุ่งทะยานแหวกอากาศออกมา

เกิดเสียงดัง “ฉึก” ม่านลำแสงของผังค่ายแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ค่ายกลระฆังคว่ำในมือของจางไห่เฟยส่งเสียงแกร๊ก และปรากฏรอยร้าวออกมา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ