มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 222

สายฟ้าสีฟ้าที่อยู่บริเวณไหล่ของหมีเดือดทั้งสองข้างกลายเป็นปีกสายฟ้าขนาดใหญ่ แต่ไม่มีทางที่จะไล่ตามวิชาท่าร่างตามลมล่าจันทราที่หลัวซิวฝึกฝนไว้อย่างสมบูรณ์ จึงได้แต่คำรามไล่หลัง ทำเอาอสูรกายจำนวนมากในเขตแดนที่ 3 ต่างต้องแอบหลบ

บริเวณด้านหน้าหน้าผาสูงชันเทียมก้อนเมฆ หลัวซิวยืนอยู่กลางท้องฟ้า

บริเวณรอบๆ ที่ไม่ไกลมากนัก มีเสาหินหนาหนักอยู่ทั้งสิ้นเก้าต้น ซึ่งเป็นค่ายกลป้องกันขนาดใหญ่ แม้ว่าจะเป็นอสูรกายที่มีพลังยุทธ์เทียบเท่ากับราชายุทธ์ ก็ไม่มีทางที่จะเข้าไปยังแผ่นดินนี้ได้

จากระดับค่ายกลของหลัวซิวกลับมองไม่ออกว่าค่ายกลเสาหินทั้งเก้าต้นนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ได้แต่เดาส่งๆ ไปเท่านั้น ค่ายกลระดับนี้จะต้องเป็นค่ายกลเหนือกว่าระดับ 6 ขึ้นไปอย่างแน่นอน

อสูรกายในเขตที่ 3 นี้ไม่มีทางเข้าไปได้ แต่หลัวซิวที่ครอบครองหยกจันทราอสูรนี้กลับสามารถเข้าไปยืนบริเวณด้านหน้าผาได้

หยกอสูรที่อยู่ในอกทั้งสองก้อนลอยออกมา แสงสีแดงกับแสงสีเงินสองสายพุ่งตรงลงมายังหน้าผาที่มันเงา จากนั้นเกิดเสียงสว่างกระเพื่อมไหวลอยออกมาจากปากถ้ำ

หยกอสูรสองก้อนลอยอยู่กลางท้องฟ้า ขอเพียงหยกอสูรไม่หายไป ปากถ้ำนั้นก็จะยังอยู่ในสภาพที่เปิดเข้าไปได้

รายละเอียดพวกนี้เป็นสิ่งบันทึกอยู่ในภาพปริศนา

หลัวซิวไม่ได้สงสัยอะไรมากนัก เขาก้าวอาดๆ เข้าไปยังปากถ้ำ ด้านในเป็นอุโมงค์มืดสายหนึ่ง ราวกับเดินลงไปยังใต้ดิน นี่เองที่ทำให้ที่นี่ถูกเรียกว่าวังใต้

หลัวซิวใช้ตัวสำนึกกระจายไปรอบๆ แล้วเดินเข้าไปด้านในอย่างระมัดระวัง แล้วจึงพบว่าพลังฟ้าดินจิตในอุโมงค์นั้นเข้มข้นมาก แถมยังมีความหนาวยะเยือกเข้าไปถึงกระดูกแพร่กระจายไปทั่ว

ระหว่างที่เขาเดินลึกเข้าไปในอุโมงค์เรื่อยๆ หลัวซิวก็เห็นร่องรอยของค่ายกลที่ถูกทำลาย น่าจะเป็นฝีมือของตระกูลเหยียนที่เคยเข้ามารื้อค้นวังใต้แห่งนี้

จากข้อมูลที่เหยียนเยว่เอ๋อร์เคยบอกเขาเอาไว้ วังใต้แห่งนี้ตั้งอยู่ที่แดนนานาอสูรเขตที่ 3 นักยุทธ์ของตระกูลเหยียนเข้ามาค้นหาที่นี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนได้ประโยชน์จากที่นี่ไปมากมาย

ทว่าตระกูลเหยียนก็ยังไม่สามารถที่จะค้นหาวังใต้ได้อย่างถึงที่สุด เพราะมีบางพื้นที่ที่แปลกประหลาด แม้แต่จักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่งหากไม่ระวังก็อาจจะเดินไปสู่ความตายได้เช่นกัน

แม้แต่ตระกูลเหยียนเองก็ยังเคยสูญเสียราชายุทธ์ให้กับวังใต้แห่งนี้ไปถึงสองคนด้วยกัน

ยิ่งเดินไปตามอุโมงค์ลึกเข้าไปเรื่อยๆ ความหนาวเย็นก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้น หลัวซิวใช้วงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพในการคุ้มกันตัวเอง และเริ่มระมัดระวังมากขึ้นเรื่อยๆ

เวลาผ่านไปพักใหญ่ ด้านหน้าจึงปรากฏห้องศิลาขึ้น ประตูหินอันหนาหนักมีร่องรอยที่ค่ายกลถูกทำลายปรากฏอยู่

หลัวซิวเดินเข้าไปก็เห็นแต่ความรกรุงรังทั่วไปทั้งห้องศิลา ไม่มีหลงเหลือเศษซากสมบัติมีค่าใดๆ หรือต่อให้มีสิ่งของอยู่ก็คงถูกนักยุทธ์ของตระกูลเหยียนเก็บกวาดไปจนเกลี้ยงแล้ว

“ดูท่าคงหาสมบัติมีค่าอะไรด้านบนวังใต้ไม่ได้แล้วล่ะ” หลัวซิวส่ายหน้าแล้วเดินออกไปจากห้องศิลา

วังใต้แบ่งออกเป็นสองชั้น ตอนนี้ตำแหน่งที่หลัวซิวอยู่คือด้านบน หลายร้อยปีที่ผ่านมานี้ถูกนักยุทธ์ของตระกูลเหยียนกวาดล้างไปหลายต่อหลายครั้ง

ส่วนบริเวณด้านล่างของวังใต้ กลับเป็นพื้นที่ที่อันตราย และเป็นบริเวณที่ราชายุทธ์ของตระกูลเหยียนทั้งสองคนต้องหายตัวไป

เมื่อเดินลึกต่อเข้าไปเรื่อยๆ หลัวซิวก็ยิ่งค้นพบห้องศิลาอีกหลายห้อง ด้านในห้องว่างเปล่าไม่เหลือเศษซากอะไรทิ้งไว้

เดินไปจนกระทั่งอุโมงค์ถึงทางตัน หลัวซิวจึงเห็นแสงสีแดงกับแสงสีเงินวับไหวหมุนวนสอดประสานอยู่ด้วยกัน

การหมุนวนนี้เป็นทางเข้าไปยังชั้นล่างของวังใต้

“ขนาดราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งเข้าไปยังตาย พลังยุทธ์ของข้าตอนนี้หากเข้าไปแล้วคงมีแต่อันตรายมากกว่า”

ตั้งแต่เริ่มแรก หลัวซิวไม่ได้มีความคิดที่จะลงไปยังชั้นล่างของวังใต้เลยด้วยซ้ำ เพราะว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่ที่ราชายุทธ์ผู้แข็งแกร่งเข้าไปแล้วไม่ได้กลับออกมาอีก

ซากที่ถูกทิ้งเอาไว้ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ไม่ได้มีเพียงสมบัติและโชะตาเท่านั้น แต่ก็มีความอันตรายเร้นลับอีกมากมาย

ดังนั้นวัตถุประสงค์หลักที่เข้ามาสำรวจในวังใต้แห่งนี้เป็นเพียงเพราะความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น

ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น หลัวซิวก็ตั้งท่าจะหมุนตัวออกไป

ทว่าในตอนนั้นเอง ฝีเท้าของเขาก็หยุดลง เพราะเขาสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่รวยรินอยู่

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ