มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2664

“อาจจะเป็น...”

ผู้อาวุโสใหญ่ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ หากทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาเดาไว้ในใจก็ไม่น่าแปลกใจที่คนผู้นี้สามารถไปถึงยอดหอคอยเวิ่นซินได้

ความลับศูนย์กลางมากมายของภูเขาว่านเริ่นได้รับการบอกเล่าโดยปากเปล่าโดยเจ้าสำนัก ในฐานะที่เขาเป็นผู้อาวุโสใหญ่แม้จะรู้ทุกอย่าง แต่เขาก็ไม่ได้รู้อะไรมากนัก

“จากนี้ไป หลัวซิวเป็นศิษย์ใจกลางภูเขาว่านเริ่นของเรา เรื่องนี้ห้ามไม่ให้ผู้ใดคัดค้านเด็ดขาด!”

ผู้อาวุโสใหญ่พูดช้าๆ เสียงของเขาไม่ดัง แต่ก้องอยู่ในหูของทุกคน

หลัวซิวชำเลืองมองที่ผู้อาวุโสใหญ่ แม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายปี บางทีราชาเทพว่านเริ่นอาจเหลือคำพูดบางประโยคไว้ให้ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น ดังนั้นผู้อาวุโสใหญ่จึงคาดเดาตัวตนบางอย่างของเขาได้อย่างคลุมเครือ

ยุคสมัยนั้นนานเกินไปแล้วและหลายคนรู้เพียงว่าราชาเทพว่านเริ่นเคยติดตามผู้แข็งแกร่งเก่งกาจคนหนึ่งมาก่อน แต่ใครยังจำได้ว่าชื่อของผู้แข็งแกร่งคนนั้นได้ว่าเขาคือ ไท่ซ่างฉิง ซึ่งเป็นคนแรกที่กลายเป็นแดนผู้สูงส่งหลังจากยุคแห่งการเกิดใหม่?

“เกี่ยวกับเรื่องหอคอยเวิ่นซิน ห้ามผู้ใดแพร่งพรายออกไป มิฉะนั้นจะถือว่าเป็นความผิดฐานทรยศสำนัก!” ผู้อาวุโสใหญ่เสริมอีกประโยคหนึ่ง เขารู้สึกว่าจำเป็นต้องให้เจ้าอาจารย์ประมุขเขาออกจากการปิดกั้นฝึกตนแล้ว

กลับไปที่เรือนของ หุบเขาเทพจันทรา เหยียนเยว่เอ๋อร์กับเหยียนซีโรว่ยังคงฝึกฝนและไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก

ในชาติที่แล้ว ไท่ซ่างฉิงเป็นผู้แข็งแกร่งแดนสูงสุด สิ่งที่เขาหยิบออกมาอย่างไม่ตั้งใจล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับนักยุทธ์ทั่วไป

ไท่ซ่างฉิงรู้ด้วยว่าหลังจากที่เขาเกิดใหม่ เส้นทางของการฝึกฝนจะไม่ง่ายอย่างแน่นอน หากเขาทเหลือสมบัติระดับสูงเกินไปไว้ให้ตัวเขาเอง เขาจะไม่สามารถใช้มันได้หลังจากการกลับชาติมาเกิด ดังนั้นระดับสมบัติของสิ่งที่เหลือไว้นี้จึงไม่สูงนัก

ถึงกระนั้น สิ่งของในกล่องเหล็กสีดำที่ไม่เด่นก็เพียงพอสำหรับหลัวซิวที่จะฝึกตนสู่แดนเทพมารระดับเจ็ดโดยไม่ต้องกังวลใดๆ

จนถึงตอนนี้ หลัวซิวรู้สึกโล่งใจจริง ๆ ที่เขาไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับทรัพยากรสำหรับฝึดตน

พรสวรรค์ของเยว่เอ๋อร์และซีโรว่ ไม่สามารถกล่าวได้ว่าสูงนัก แต่ก็ไม่เลว มีทรัพยากรที่เพียงพอ แค่พวกนางฝึกฝนอย่างตั้งใจ ในอนาคตพวกนางจะมีตำแหน่งของผู้แข็งแกร่งในโลก

ผุ้แข็งแกร่งอาจไม่จำเป็นต้องเก่งกาจมากถึงจะเป็นได้ โอกาสก็เป็นปัจจัยสำคัญเช่นกัน บางคนมีความสามารถไม่ดี พรสวรรค์ธรรมดา แต่พวกเขายังสามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดของผู้แข็งแกร่งได้

และเขา หลัวซิว คือโอกาสของเหยียนเยว่เอ๋อร์และเหยียนซีโรว่ เขามั่นใจว่าจะนำพวกนางไปสู่จุดสูงสุดของวิถียุทธ์ด้วยกันได้

ในค่ำคืนนี้ หลัวซิวผลักประตูบ้านไม้และเดินออกไป เงยหน้ามอง ดวงจันทร์ที่สว่างไสวลอยอยู่บนท้องฟ้า

ร่างหนึ่งเหยียบแสงดวงจันทร์ลงมาจากท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างเงียบ ๆ ค่ายกลต้อมห้ามที่หลัวซิวสร้างไว้รอบ ๆ เรือนดูเหมือนไม่มีผลต่อคนๆนี้

ไม่ว่าค่ายกลของเจ้าจะเก่งกาจเพียงใด หากความแตกต่างในผลการฝึกฝนระหว่างทั้งสองฝ่ายนั้นมากเกินไป ก็จะไม่มีผลแม้แต่น้อย

หลัวซิวไม่แปลกใจกับเรื่องนี้ แม้ว่าภูเขาว่านเริ่นจะเสื่อมทรามลง ผู้อาวุโสทั้งหกจะอยู่ในแดนอาณาจักรของเทพและปีศาจชั้นที่เจ็ดเท่านั้น แต่ภูเขาว่านเริ่นสามารถสืบทอดมาได้จนถึงทุกวันนี้เป็นไปไม่ได้ที่ไม่มีผู้แข็งแกร่งปกป้องอยู่

ผู้ที่มาด้วยแสงดวงจันทร์เป็นสตรีที่สวมชุดยาวสีเขียว นางมีรูปลักษณ์ที่สง่างามไร้ที่ติ ใบหน้าเย็นชา ริมฝีปากสีแดงที่น่าดึงดูดใจ และขลุ่ยยาวแกะสลักหยกสีดำห้อยอยู่ที่เอวของนาง

“ทวยเทพตายหรือเป็น จักรพรรดิไท่ซ่าง!”

สตรีในชุดกระโปรงสีเขียวเดินมาตรงหน้าหลัวซิว มองเขาด้วยสายตาเย็นชา ริมฝีปากสีแดงพูดประโยคแปลกๆออกมา

“มีเหล้าหรือไม่?” หลัวซิวมองนาง เดินไปที่ข้างต้นไม้พร้อมนั่งลงบนพื้น

สตรีคนนั้นขมวดคิ้ว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร?”

“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร เจ้าสามารถพูดประโยกนั้นออกมาได้ ข้าเดาตัวตนของเจ้าได้แล้ว” หลัวซิวยิ้มเบา ๆ

สตรีในชุดกระโปรงสีเขียวไม่พูดอะไรมาก นางโบกมือหยกของนางเบา ๆ โต๊ะหยกงดงามก็ปรากฏขึ้นระหว่างนางกับหลัวซิว

หลังจากนั้น สตรีในชุดกระโปรงสีเขียวก็นั่งตรงข้ามกับหลัวซิวพร้อมหยิบกาหยกและถ้วยหยกออกมา

“ดูเหมือนว่าสายเลือดของว่านเริ่นจะสืบทอดนิสัยของไอ้นั่นมาด้วย ต่างชอบหยกมากขนาดนั้นเลยรึ?”

หลัวซิวส่ายหัวและยิ้ม หยิบกาหยกและถ้วยหยกขึ้นมา เทให้ตัวเองแล้วดื่มให้หมดในอึกเดียว

“รสชาติยังเหมือนเดิม...”

แก้วเหล้าหนึ่งกลืนลงไป ใบหน้าของหลัวซิวรำลึกถึงความทรงจำในอดีต ราชาเทพว่านเริ่นที่ติดตามเขาในอดีตเป็นนักดื่มที่ดี เขามักจะชอบดื่มกับหยก ภายในถ้ำฝึกฝนของเขา เครื่องตกแต่งและเครื่องประดับทุกชนิดทำจากหยกเช่นกัน

ไม่เพียงเท่านั้น ราชาเทพว่านเริ่นยังเก่งด้านการหมักเหล้าด้วย ทุกครั้งที่เขาหมักเหล้าดีๆออกมา เขาจะส่งมาให้เขา ทั้งสองนั่งตรงข้ามดื่มด้วยกัน หัวเราะและพูดคุยเกี่ยวกับโลกใบนี้

“เจ้าไม่ต้องจ้องข้าขนาดนี้ ข้ารู้ว่าอยากให้ข้าพูดครึ่งประโยคหลังออกมา แต่เจ้าไม่รู้สึกว่าครึ่งประโยคหลังนั้นไม่ว่าข้าจะพูดหรือไม่ก็ตามก็ไม่มีคงามหมายอะไรแล้ว?” หลัวซิวพูดด้วยรอยยิ้ม

“นี่คือคำสอนของบรรพบุรุษ!” สตรีในชุดกระโปรงสีเขียวดูเหมือนจะเป็นสตรีที่ดื้อรั้น

“ทวยเทพตายหรือเป็น จักรพรรดิไท่ซ่าง ข้าเป็นเพียงหนึ่งเดียวในจักรวาล!”

หลัวซิวหัวเราะเบา ๆ และพูดครึ่งหลังของประโยคออกมา จริง ๆ แล้วสองประโยคนี้ไม่ใช่เขาที่เป็นคนพูดในชาติที่แล้ว แต่เป็นประโยคที่ราชาเทพว่านเริ่นพูดออกมาเมื่อตอนที่เขาดื่มเหล้า

ในยุคสมัยนั้น จ้าววัฏสงสารรุ่นที่แปดและผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเก้าหลายคนเสียชีวิตในศึกภัยพิบัติฆาตชีวิต ในเหล่าทวยเทพตกอยู่ในหายนะร้ายแรง ตายหรือเป็นไม่แน่นอน ไท่ซ่างฉิงโผล่ขึ้นมาฉับพลันในยุคสมัยนั้น

เมื่อไท่ซ่างฉิงบรรลุตำแหน่งผู้สูงสุด สถานการณ์ของโลกาก็มั่นคงแล้ว เขาในเวลานั้นเป็นวีรบุรุษสูงส่งมากจนอาจกล่าวได้ว่าเป็นเพียงหนึ่งเดียวในจักรวาล

“ลวี่โหลว คารวะท่าน!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ