มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2673

ภายในสำนักหารือ ประมุขเขาลวี่โหลวนั่งอยู่ตรงที่นั่งหลัก เมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้อาวุโสทั้งสองพูด ก็ไม่มีการแสดงออกทางสีหน้าใด ๆ แต่แววตากลับมีความย็นชาแผ่ซ่านออกมา

“ผู้อาวุโสสวี ผู้อาวุโสหวาง ภูเขาว่านเริ่นดีกับพวกท่านไม่น้อย ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมพวกท่านจึงเสนอข้อคิดเห็นเช่นนี้ออกมา”

ขณะที่พูดอยู่นั้น ก็ยกมือขึ้นจับ ป้ายบัญชาการที่ห้อยอยู่ตรงเอวของสวีปู้ฉุนและผู้อาวุโสแซ่หวางผู้นั้นก็ลอยขึ้นกลางอากาศ แล้วตกลงในมือของนาง

สิ่งนี้ทำให้สีหน้าของผู้อาวุโสทั้งสองเปลี่ยนปในทันที ผู้อาวุโสถูกเรียกป้ายบัญชาการคืน นางหมายความว่าพวกเขาถูกเรียกคืนฐานะและอำนาจของผู้อาวุโสแล้ว

“ประมุขเขาทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ? หรือว่าข้าพูดอะไรผิดไป ? ต่อให้พูดผิด ก็ริบป้ายบัญชาการของผู้อาวุโสอย่างเราคืนไปด้วยเรื่องแค่นี้อย่างนั้นหรือ ?” สวีปู้ฉุนพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ

“เปล่า ข้าไม่ได้เก็บป้ายบัญชาการผู้อาวุโสคืนเพราะพวกท่านพูดสิ่งใดผิด แต่เป็นเพราพวกท่านเป็นผู้อาวุโส แต่กลับไม่มีจิตใจที่หยิ่งในศักดิ์ศรี อย่างที่ผู้อาวุโสของภูเขาว่านเริ่นควรมีมานานแล้ว !” ลวี่โหลวพูดอย่างทอดถอนใจ

“พูดได้ดี !”

ตรงประตูของสำนักหารือ หลัวซิวและหงเหยียนเดินเข้ามาพร้อมกัน เขากวาดสายตาไปยังลวี่โหลวและบรรดาผู้อาวุโส จากนั้นก็พูดขึ้นเบา ๆ ว่า “ถึงแม้ภูเขาว่านเริ่นจะตกต่ำ ก็ไม่อาจปล่อยให้สูญเสียจิตใจที่หยิ่งในศักดิ์ศรีไปได้ !”

“ยอมก้มหัวเพื่อร้องขอชีวิตอย่างน่าอดสู มีแต่จะทำให้สำนักมังกรฟ้ายิ่งกดขี่ข่มเหงพวกท่านยิ่งขึ้น และจะยิ่งทำให้อาจารย์ปู่ของพวกท่านต้องขายหน้า !”

“บังอาจ ! เจ้าเป็นแค่ศิษย์จะไปรู้อะไร ? อาศัยแค่ความบ้าดีเดือดและเลือดร้อนของเด็กหนุ่ม เจ้ารู้ไหมว่าเจ้ากำลังสร้างปัญหาใหญ่ขนาดไหน ?” สวีปู้ฉุนตะคอกอย่างดุดัน

“โปรดระวังฐานะของท่านด้วย ตอนนี้ท่านไม่ใช่ผู้อาวุโสอีแล้ว อีกทั้งภูเขาว่านเริ่นก็ไม่ต้องการคนอย่างท่านมาเป็นผู้อาวุโสด้วย”

หลัวซิวแค่กวาดสายตามองสวีปู้ฉุนอย่างผ่าน ๆ จากนั้นก็หันมองลวี่โหลวในทันที “จะจัดการอย่างไรก็แล้วแต่ท่าน ข้ายังมีธุระ ขอตัวก่อน”

เรื่องภายในของภูเขาว่านเริ่น หลัวซิวไม่อยากยื่นมือเข้าไปยุ่งนัก แต่เขาเองก็เชื่อว่า ลวี่โหลวคงรู้ดีว่าควรจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร

ไม่นานนัก ภูเขาว่านเริ่นก็ประกาศข่าวออกมาว่า พวกของผู้อาวุโสสวีปู้ฉุนทั้งสอง ถูกปลดจากตำแหน่งผู้อาวุโสแล้ว ส่วนพวกของผู้อาวุโสหวยซินและหลิวฉางชุนทั้งสาม ก็ถูกลดขั้นให้เป็นผู้คุมกฎ

เรื่องนี้ทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นในภูเขาว่านเริ่นไม่น้อย หลังจากนั้นไม่นานนัก หงเหยียนก็มาที่หุบเขาเทพจันทราและบอกหลัวซิวว่า ผู้อาวุโสสวีปู้ฉุนและผู้อาวุโสหวาง ออกจากภูเขาว่านเริ่นไปแล้ว

หลัวซิวไม่รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้นัก คนที่พูดทำนองว่าจะมอบตัวเขาให้กับสำนักมังกรฟ้าเพื่อรับโทษ เดิมทีสวีปู้ฉุนและผู้อาวุโสหวางเองก็น่าสงสัยอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนเท่านั้น จึงมีบางอย่างที่ไม่อาจพูดออกมาได้ชัดเจนนัก

สำนักมังกรฟ้าจ้องจะเขมือบภูเขาว่านเริ่นมาตลอด แล้วจะไม่วางหมากบางตัวเอาไว้ในภูเขาว่านเริ่นได้อย่างไร ?

เพียงแต่หลัวซิวคิดไม่ถึงว่า สำนักมังกรฟ้าจะยื่นมือเข้ามาได้ลึกถึงเพียงนี้ แม้แต่บุคคลระดับผู้อาวุโส ก็กลายเป็นหมากของสำนักมังกรฟ้าไปได้

หากไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ในวันนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ก็ไม่รู้ว่าสวีปู้ฉุนและผู้อาวุโสหวางจะยังปิดบังตัวจนอยู่ได้อีกนานเท่าไร จึงจะยอมเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา

แต่ไม่ว่าจะเปิดเผยโฉมหน้าออกมาตอนนี้หรือไม่ก็ไม่สำคัญแล้ว เพราะหลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้น ระหว่างภูเขาว่านเริ่นกับสำนักมังกรฟ้า ก็เท่ากับไม่ไว้หน้าซึ่งกันและกันอีก การต่อสู้ครั้งใหญ่ ดูเหมือนว่ากำลังจะมาถึงแล้ว

“สำนักมังกรฟ้ายังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรหรือ ?”

ไม่ว่าด้านนอกจะเกิดความปั่นป่วนเพียงใด ในลานสวนของหุบเขาเทพจันทราแห่งนี้ ทุกอย่างยังคงเป็นปกติเช่นเดิม

เหยียนเยว่เอ๋อร์และเหยียนซีโรว่ ทุ่มเททั้งกายและใจให้กับการฝึกตนอย่างเต็มที่ เพราะหลัวซิวเคยพูดเอาไว้ว่า ในโลกของนักยุทธ์ มีเพียงผลการฝึกตนที่แข็งแกร่งพอเท่านั้นจึงจะเป็นนิรันดร์

คนอื่น ๆ เองก็เช่นเดียวกัน ส่วนหลัวซิว เขายังคงไม่รีบร้อนที่จะยกระดับผลการฝึกตนของตนเอง แต่กลับค่อย ๆ ปรับปรุงให้ดีขึ้นทีละก้าว ๆ และค่อย ๆ ยกระดับขึ้นอย่างมั่นคง

เขาไม่ได้ร้องขอทรัพยากรในการฝึกตนใด ๆ จากภูเขาว่านเริ่น เพราะเขารู้ดีว่าระดับการเผาผลาญทรัพยากรของเขานั้นน่ากลัวมาก ทรัพยากรมีอยู่น้อยไม่พอใช้ แต่หากต้องการมาก เกรงว่าด้วยภูมิหลังของภูเขาว่านเริ่นคงแบกรับไม่ไหว

ส่วนทางด้านสำนักมังกรฟ้า ในสายตาของหลัวซิว การที่ผู้อาวุโสทั้งสามถูกสังหาร คงเพียงพอที่จะทำให้สำนักมังกรฟ้าโกรธจนเนื้อเต้น แต่นี่ก็ผ่านไปนานแล้ว กลับยังไม่เห็นสำนักมังกรฟ้ามีความเคลื่อนไหวใด ๆ

“สำนักมังกรฟ้าไม่กล้าลงมืออย่างประมาท”

หงเหยียนยิ้มออกมา แล้วพูดว่า : “ต่อให้ภูเขาว่านเริ่นของเราจะตกต่ำลงแล้ว แต่สมัยก่อนก็เป็นถึงผู้สืบทอดระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ แล้วสำนักมังกรฟ้าเล่าเป็นอะไร ? อาจารย์ปู่ของพวกเขาก็เป็นแค่ราชาเทพระดับแปดเท่านั้น ซึ่งเทียบไม่ได้กับอาจารย์ปู่ของเราแม้เพียงปลายเล็บ”

อันที่จริงแล้ว ไม่ต้องให้หงเหยียนพูด หลัวซิวก็พอจะรู้ว่า ทำไมสำนักมังกรฟ้าถึงยังเกรงกลัวภูเขาว่านเริ่นอยู่ อย่างไรเสีย อาจารย์ปู่ของภูเขาว่านเริ่นก็เป็นถึงราชาเทพระดับเก้า วิธีการที่ผู้แข็งแกร่งระดับนี้ถ่ายทอดเอาไว้ให้ สำนักมังกรฟ้าไม่มีทางเทียบได้อย่างแน่นอน

ในสมัยก่อน ภูเขาว่านเริ่นกระทำการอย่างอ่อนน้อม และมักจะยอมอ่อนข้อให้เสมอ สำนักมังกรฟ้าก็ยังไม่กล้าแตะต้องภูเขาว่านเริ่น ตอนนี้จู่ ๆ ภูเขาว่านเริ่นกลับเปลี่ยนท่าที สังหารผู้อาวุโสทั้งสามที่เดินทางมาถามหาความผิดถึงที่อย่างเปิดเผย ทำให้ สำนักมังกรฟ้าต้องยิ่งไตร่ตรองมากขึ้น

ทว่า ต่อให้สำนักมังกรฟ้าจะเกรงกลัวแค่ไหน แต่เรื่องที่ผู้อาวุโสทั้งสามถูกสังหาร หากไม่มีการตอบโต้ออกมาแม้แต่น้อย ไม่เท่ากับว่าศักดิ์ศรีและอำนาจของสำนักมังกรฟ้าที่อยู่ในห้วงธาตุดารา ต้องถูกทำลายย่อยยับอย่างนั้นหรือ ?

ทุกอย่างเป็นไปตามที่หลัวซิวคาดการณ์เอาไว้ สำนักมังกรฟ้าเดินทางมาจริง ๆ วันนี้เอง เรือรบขนาดใหญ่ลำหนึ่งทะลุสุญญากาศ บินข้ามท้องฟ้ามา เรือรบลำนี้มีขนาดมหึมา มีความยาวกว่าร้อยลี้ บินมาจากขอบฟ้าราวกับภูเขาทอง อยู่เหนือน่านฟ้าที่สูงลิ่ว

รูปร่างของเรือรบ เป็นรูปร่างของมังกรทองห้ากรงเล็บ บนผืนธงที่โบกสะบัดอยู่บนเรือรบ มีสัญลักษณ์รูปเทพมังกรอยู่

สำนักมังกรฟ้า ไม่ใช่สำนักที่มีเพียงแค่เผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้น แต่มีทั้งมนุษย์และอสูรปะปนกันอยู่ ได้ยินว่าอาจารย์ปู่ผู้บุกเบิกสำนักมังกรฟ้า เป็นผู้แข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่ภรรยาของผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ผู้นี้ กลับมาจากเผ่าพันธุ์มังกรแท้

ดังนั้นเชื้อสายของอาจารย์ปู่แห่งสำนักมังกรฟ้า จึงมีทั้งสายเลือดของเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์มังกรผสมกันอยู่ ในด้านการฝึกยุทธ์ จึงมีพรสวรรค์ที่เหนือธรรมชาติ

และเป็นเพราะอาศัยพลังของสายเลือดทั้งสอง สำนักมังกรฟ้าแข็งแกร่งขึ้นมากในช่วงสามสิบล้านปีกาลก่อน และเอาชนะภูเขาว่านเริ่นที่ตกต่ำลงแล้วได้ในสงครามครั้งใหญ่ และวางรากฐานอย่างมั่นคงในห้วงธาตุดาราทันที

เรือรบมังกรฟ้าดูราวกับภูเขาทองที่เคลื่อนที่ได้ ออร่าที่เปล่งประกายออกมา เต็มเปี่ยมไปด้วยพลานุภาพ และยังแฝงไปด้วยออร่าของกฎพลังเต๋า เมื่อพิจารณาดูเรือรบขนาดใหญ่ลำนี้ ก็คาดว่าอย่างน้อยต้องเป็นของขลังในระดับอาวุธเทพระดับเจ็ด

บนเรือรบมังกรฟ้าลำนี้ มีศิษย์ระดับยอดฝีมือของสำนักมังกรฟ้ายืนกันอยู่อย่างหนาแน่น อำนาจอันทรงพลังรวมกันอยู่บนเรือ กลายเป็นอาณาจักรฟ้าดิน เรียกได้ว่าเป็นพลานุภาพที่ยิ่งใหญ่

ตอนที่เรือรบปรากฏขึ้นบนน่านฟ้าของภูเขาว่านเริ่น เสียงระฆังเตือนภัยในภูเขาว่านเริ่นก็ดังขึ้น ค่ายกลป้องกันทำงานในทันที บรรดาศิษย์ค่อย ๆ เดินออกมาจากที่ฝึกตน และเตรียมพร้อมรับมือ

ภูเขาว่านเริ่นมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เผชิญหน้ากับภัยพิบัติมาหลายครั้ง เคยถูกทำลายค่ายกลเทพระดับเก้าจนแหลกละเอียด ค่ายกลป้องกันที่ใช้อยู่ในตอนนี้ เป็นค่ายกลเทพระดับแปดที่เพิ่งตั้งขึ้นในภายหลัง

ค่ายกลระดับนี้ พอจะต้านทานผู้รุกรานที่เป็นผู้แข็งแกร่งในระดับเทพมารระดับเจ็ดได้ แต่สำนักมังกรฟ้านั้นมีผู้แข็งแกร่งในระดับเทพมารระดับแปดอยู่ การทำลายค่ายกลป้องกันระดับนี้ จึงไม่ใช่เรื่องยาก

ผู้อาวุโสที่ปิดขังฝึกตนมาตลอดก็ออกมาจากการปิดขังตนแล้ว พลังอำนาจที่อยู่บนตัวของเขา ดูแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย ดูเหมือนว่าเขาจะมีการรับผัสรู้ และมีความสามารถที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เกี่ยวกับพลังอมตะเวทย์ย้ายเขาถล่มฟ้า

ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสใหญ่ ผลการฝึกตนของเขาลึกซึ้งยิ่งกว่าหงเหยียน บรรลุถึงระดับเทพมารระดับเจ็ดขั้นสูงแล้ว อีกไม่นานนัก ก็คงมีการเตรียมพร้อมของสะสมและมรดกสำหรับการบรรลุแดนเทพมารระดับแปดแล้ว

บนเรือรบ มีราชรถลอยอยู่บนท้องฟ้า มีร่าง ๆ หนึ่งที่ถูกห้องล้อมไปด้วยแสงสีทอง กำลังนั่งตระหง่านอยู่บนนั้น

ไม่ต้องบอกก็คงพอเดาออกว่าคนผู้นี้ ก็คือเจ้าสำนักมังกรฟ้า !

เจ้าสำนักมังกรฟ้าสืบทอดเชื้อสายและพรสวรรค์ครึ่งมนุษย์ครึ่งมังกรมาจากอาจารย์ปู่ สายเลือดของพวกเขาครอบครองพรสวรรค์ด้านการสัมผัสรู้โลกยุทธ์ และยังครอบครองร่างกายที่แข็งแกร่ง และสายเลือดอันทรงพลังของเผ่ามังกร

เจ้าสำนักมังกรฟ้าในรุ่นนี้ ยังเป็นถึงเทพมารระดับแปด ทั่วทั้งธาตุดารามังกรฟ้า เรียกได้ว่าเขาคือผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

การเคลื่อนไหวที่เอิกเกริกเช่นนี้ของสำนักมังกรฟ้า ย่อมทำให้สำนักตระกูลอื่น ๆ ในธาตุดารามังกรฟ้าต่างตื่นตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนที่เห็นเรือรบของสำนักมังกรฟ้าเคลื่อนมาถึงภูเขาว่านเริ่น ก็ทำให้คนจำนวนมากต่างรู้สึกตกตะลึง

“เจ้าสำนักมังกรฟ้าเดินทางมาด้วยตนเอง หลายปีมาแล้ว สุดท้ายสำนักมังกรฟ้าก็ทนไม่ได้ที่จะต้องลงมือกับภูเขาว่านเริ่นแล้วหรือ ?”

คนของสำนักตระกูลจำนวนไม่น้อยต่างรู้สึกประหลาดใจ

“ได้ยินว่าภูเขาว่านเริ่นสังหารผู้อาวุโสของสำนักมังกรฟ้าไปสามคน......”

“ไม่น่าเป็นไปได้ ? ภูเขาว่านเริ่นอ่อนน้อมถ่อมตนมาตลอดมิใช่หรือ ? หรือว่าภูเขาว่านเริ่นจะมีมรดกที่ผู้แข็งแกร่งระดับราชาเทพระดับเก้าทิ้งเอาไว้ให้จริง ๆ ดังนั้นถึงไม่กลัวสำนักมังกรฟ้ามาแก้แค้น ?”

“ลวี่โหลวประมุขเขา ผู้อาวุโสทั้งสามของสำนักมังกรฟ้าเราถูกสังหาร วันนี้ข้าจึงมาเพื่อฟังคำอธิบาย !”

เจ้าสำนักมังกรฟ้านั่งตระหง่านอยู่บนราชรถ เสียงกึกก้องราวกับเสียงฟ้าร้อง ดังสะท้อนอยู่บนท้องฟ้าเหนือภูเขาว่านเริ่น

“คำอธิบาย ? มีอะไรต้องอธิบาย ? ผู้อาวุโสของพวกท่านมีเจตนาฆ่าศิษย์ของภูเขาว่านเริ่น ก็ควรได้รับโทษตายอยู่แล้ว !” ลวี่โหลวปรากฏตัวขึ้นบนจุดสูงสุดของภูเขาว่านเริ่น และเผชิญหน้ากับเจ้าสำนักของสำนักมังกรฟ้าอย่างไม่เกรงกลัวอยู่กลางอากาศ

ถึงแม้นางจะเป็นผู้หญิง แต่กลับไม่มีใครกล้ามองข้ามนาง ทั่วทั้งธาตุดารามังกรฟ้าต่างรู้ดีว่า ถึงแม้ภูเขาว่านเริ่นจะถ่อมตน แต่หากจะมีใครจะกล้าแข็งข้อกับสำนักมังกรฟ้า หนึ่งในนั้นต้องมีลวี่โหลวประมุขเขารวมอยู่ในนั้นด้วยอย่างแน่นอน !

“ข้าไม่อยากพูดอะไรให้มากความ ในเมื่อลวี่โหลวประมุขเขามีความมั่นใจเช่นนี้ ไม่สู้แสดงความสามารถที่แท้จริงออกมา ข้าเองก็อยากเห็นเหมือนกันว่า ภูเขาว่านเริ่นของเจ้ายังมีมรดกอะไรอีก !”

ร่างกายกำยำของเจ้าสำนักมังกรฟ้า ลุกขึ้นยืนบนราชรถ ในขณะที่เขาลุกขึ้นมานั้น ดวงตาสีทองที่แหลมคมก็พุ่งเข้ามาราวกับกระบี่เทพ ก็ตัดขาดอนัตตาทันที

เปรี้ยง !

พลังของเลือดปราณที่ทรงพลานุภาพพลุ่งพล่านออกมารอบตัวของเจ้าสำนักมังกรฟ้า กว้างใหญ่ราวกับทะเล ม้วนเป็นวงไม่สิ้นสุด เลือดปราณสมุทรที่เขาแปลงออกมา ปรากฏเป็นหัวมังกรจำนวนมากที่เคลื่อนไหวอย่างมีชีวิตชีวา

ในที่สุด พลังของเลือดปราณทั้งหมดก็กลายเป็นมังกรขนาดมหึมา เหาะอยู่ด้านหลังของเจ้าสำนักมังกรฟ้า

คัมภีร์ทะเลเลือดมังกรฟ้า! นี่คือมนตราสูงสุดของสำนักมังกรฟ้า

“หากท่านคิดจะต่อสู้ คิดหรือว่าข้าจะกลัวท่าน ?”

ในฐานะที่เป็นเจ้าสำนัก ตอนนี้ลวี่โหลวไม่อาจปฏิเสธการต่อสู้ได้ นางเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า ร่างกายที่ดูบอบบาง กลับแสดงอำนาจที่ดูน่าเกรงขามออกมาในเวลาเดียวกัน แสงเทวเลือดปราณขนาดใหญ่พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ฉีกทะลุพื้นนภา สูงตระหง่านดั่งเสาที่ตั้งอยู่ใจกลางโลก !

นางในตอนนี้ ไม่อ่อนแอเหมือนผู้หญิงอีกต่อไป แต่กลับดูเหมือนนักรบหญิงผู้ทรงอำนาจ !

เปรี้ยง !

ลวี่โหลวเริ่มการต่อสู้กับเจ้าสำนักมังกรฟ้ากลางอากาศในทันที แต่ขณะที่เพิ่งประมือกัน สีหน้าของเจ้าสำนักมังกรฟ้ากลับถอดสีขึ้นมา เพราะร่างยุทธ์มังกรแท้ที่เขารู้สึกภาคภูมิใจนั้น กลับถูกกำราบเสียแล้ว !

“เป็นไปได้อย่างไร ? ร่างเนื้อของเจ้าแข็งแกร่งกว่าข้าอีกหรือ ?”

เจ้าสำนักมังกรฟ้าตกใจจนหน้าซีด ถูกลวี่โหลวโจมตีอย่างต่อเนื่องจนต้องล่าถอย เขามีสายเลือดและพรสวรรค์ของเผ่ามังกร รวมไปถึงร่างญาณ ร่างเนื้อระดับแดนพรสวรรค์ขึ้นไป มีความแข็งแกร่งกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์มากนัก แต่ร่างยุทธ์ร่างเนื้อของลวี่โหลวกลับแข็งแกร่งกว่าเขา นี่ทำให้ยากที่จะเชื่อได้

“มีอะไรน่าแปลกใจหรือ ? ถึงแม้เผ่ามังกรจะมีร่างญาณโดยกำเนิดที่แข็งแกร่ง แต่ก็แข็งแกร่งได้ไม่ถึงไหน”

ลวี่โหลวไม่คิดเช่นนั้น ด้วยพรสวรรค์ของนาง ตัวสำนึกวิญญาณและร่างเนื้อร่างญาณย่อมฝึกคู่กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่ได้รับเคล็ดเซียนชั้นยอดที่ท่านนายทิ้งเอาไว้ ในระยะนี้ความสามารถของนางก็เปลี่ยนแปลงและพัฒนาขึ้นมาก

ถึงแม้จะอยู่ในแดนเทพมารระดับแปดเท่ากัน ถึงขั้นว่า ผลการฝึกตนของนางด้อยกว่าของเจ้าสำนักมังกรฟ้าอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อเทียบด้านร่างเนื้อร่างยุทธ์แล้ว นางกลับมีพลังที่แข็งแกร่งกว่าร่างยุทธ์มังกรแท้

เมื่อคนของสำนักตระกูลอื่นในธาตุดารามังกรฟ้าเห็นฉากนี้เข้า ต่างก็ตกตะลึง ตอนนี้ทุกคนต่างเข้าใจแล้วว่า ถึงแม้ภูเขาว่านเริ่นจะตกต่ำและถ่อมเนื้อถ่อมตน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่แข็งแกร่ง น้อยคนนักที่จะเคยเห็นลวี่โหลวประมุขเขาผู้นี้ลงมือ ยามที่นางไม่ลงมือไม่เป็นไร แต่เมื่อนางลงมือขึ้นมาก็ทำให้ทุกคนต้องสั่นสะเทือน !

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ