มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2679

“อีกนานเท่าไรหุบเขาสยบปีศาจจึงจะเปิดออก ?” หลัวซิวถาม

“สามปี” ลวี่โหลวตอบ

เมื่อได้ยินดังนั้น หลัวซิวก็พยักหน้า ภายในเวลาสิบปี สามารถบรรลุกฎเกณฑ์แดนใหญ่ได้ ความเร็วนี้เขารู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง

“สิ่งที่เจ้าฝึกตนคือกฎปริภูมิ วิชากลั่นร่างอนัตตาที่ข้าถ่ายทอดให้กับเจ้า เหมาะสำหรับการฝึกตนของเจ้าอย่างยิ่ง เจ้ามีความคิดและการวางแผนเช่นไรเกี่ยวกับวิถียุทธ์ในอนาคตของตนเองบ้าง ?”

หลัวซิวสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังงานของผลการฝึกตนของลวี่โหลว ระยะเวลาสิบปี นางแทบไม่มีการพัฒนาเลยสักนิด ยังคงอยู่ในระดับเทพมารระดับแปดช่วงกลาง ซึ่งยังอยู่ห่างจากการบรรลุช่วงปลายอีกไกลนัก

พรสวรรค์ของนางนับว่าใช้ได้ ตามหลักเหตุผลแล้วไม่ควรเกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้น ทว่าตอนนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว นั่นแสดงให้เห็นว่าตัวธรรมของนางกำลังสับสน

ในความเป็นจริง การคาดเดาของหลัวซิวไม่มีอะไรผิดพลาด ก่อนหน้านี้ ตอนที่ลวี่โหลวก้าวเข้าสู่วิถียุทธ์ ก็ฝึกตนด้วยกฎปริภูมิ ภายหลังเปลี่ยนแปลงเป็นพลังแห่งกฎ ตัวธรรมก็เสถียรมาโดยตลอด จึงคิดจะฝึกกฎปริภูมิจนถึงขั้นสูงสุด หวังว่าสักวัน จะสามารถบรรลุถึงเทพมารระดับเก้าได้ และทำให้การสืบทอดนิรันดร์ของภูเขาว่านเริ่นยังคงอยู่ต่อไป เพื่อรอการมาถึงของท่านนาย

แต่ตอนนี้ท่านนายกลับมาแล้ว และให้เคล็ดวิชาพลังอมตะ รวมถึงวิชาที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นกับนาง นี่ทำให้ตัวธรรมของนางเกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อมีวิชาที่แข็งแกร่งและพลังอมตะ จะสามารถก้าวเข้าสู่วิธีแห่งยุทธ์ที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้นได้หรือไม่นะ ?

“ข้า......ข้าอยากฝึกคู่ห้วงเวลา......” ลวี่โหลวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พูดความคิดที่แท้จริงของตนเองออกมา

“วิถีห้วงเวลาเติมเต็มซึ่งกันและกัน ในอดีตไม่มีวิชาชั้นยอดและเคล็ดวิชา เจ้าจึงจำต้องเลือกทางเดินของวิถีห้วงเวลา แต่ในความเป็นจริงแล้ว ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า หากมีวิชาที่แข็งแกร่งคอยสนับสนุน ก็สามารถฝึกคู่ห้วงเวลาได้ และกลายเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอดที่ครอบครองสองพลังแห่งเกณฑ์ใหญ่” หลัวซิวพยักหน้า

“ท่านนายเองก็รู้สึกว่าข้าทำได้หรือ ?” เมื่อได้รับความเห็นด้วยจากหลัวซิว ตัวธรรมของลวี่โหลวที่แต่เดิมรู้สึกสับสน กลับร่าเริงขึ้นมาในทันที ราวกับเมฆหมอกในท้องฟ้าจางหายจนท้องฟ้ากระจ่างใส

“ได้แน่นอน เจ้าขาดเพียงแค่วิชาชั้นยอดที่เหมาะสมกับเจ้าเท่านั้น”

หลัวซิวพูดด้วยรอยยิ้ม “วิชากลั่นร่างอนัตตาที่ถ่ายทอดให้เจ้าก่อนหน้านี้ เป็นเพราะการฝึกตนของเจ้าอยู่ในวิถีห้วงเวลา วิชากลั่นร่างอนัตตาจะทำให้ความสามารถของเจ้าพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด ภายในระยะเวลาอันสั้นได้

แต่ถ้าหากพิจารณาถึงความสำเร็จและวิถียุทธ์ในอนาคต ข้าเองก็อยากให้เจ้าเดินในวิถีฝึกคู่ห้วงเวลา”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ หลัวซิวก็ยกมือขึ้น ปลายนิ้วมือของเขาสัมผัสไปที่ห้วงจักรของลวี่โหลว

ด้วยผลการฝึกตนของลวี่โหลว สามารถหลบหลีกได้อย่างง่ายดาย หรืออาจใช้ หรืออาจใช้ค่ายกลในการป้องกันตนเอง แต่นางกลับไม่ได้ทำเช่นนั้น เพราะทั้งแต่รุ่นอาจารย์ปู่ มีการถ่ายทอดกันมารุ่นต่อรุ่นว่า ท่านนายคือคนที่พวกเขาต้องคอยติดตามไปชั่วชีวิต ศิษย์รุ่นหลังที่เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งประมุขเขาในทุกรุ่น ล้วนต้องให้คำสัตย์ปฏิญาณว่าจะคอยติดตามท่านนายอย่างจงรักภักดี

เรื่องเหล่านี้ หลัวซิวไม่เคยรู้มาก่อน หากเขารู้ คงต้องประหลาดใจกับสิ่งที่เทพราชาว่านเริ่นทำเพื่อเขาทั้งหมด

ลวี่โหลวไม่ได้ตอบโต้ สิ่งนี้ทำให้หลัวซิวรู้สึกปลื้มใจเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากนางมีท่าทีคิดตอบโต้แล้วละก็ ถึงแม้จะไม่มีจุดประสงค์ร้ายใด ๆ แต่นั่นก็พอจะแสดงให้เห็นได้ว่าระหว่างเขาและนาง ยังไม่มีความไว้เนื้อเชื่อใจกันอย่างสมบูรณ์

ความไว้วางใจเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง ทำให้คนรู้สึกคิดถึง

วิชาพลังอมตะวิชาหนึ่ง ถ่ายทอดจากปลายนิ้วของหลัวซิวเข้าสู่ความทรงจำของตัวหยั่งรู้ของลวี่โหลว นี่เป็นวิชาอธิบายวิถีแห่งเวลา เริ่มตั้งแต่กฎเวลาไปจนถึงเกณฑ์เวลาครอบคลุมหลากหลาย และเปลี่ยนแปลงไม่สิ้นสุด

ถึงขั้นที่ว่า หากวิชานี้เข้ากันได้กับวิชากลั่นร่างอนัตตา และสามารถฝึกคู่กฎห้วงเวลาทั้งสองได้ หากสามารถเดินไปถึงจุดสูงสุดของวิถียุทธ์ในอนาคต จะต้องมีที่สำหรับลวี่โหลวอย่างแน่นอน

ส่วนคนที่อยู่รอบกาย หลัวซิวก็มีความแตกต่างในการบ่มเพาะ ถึงแม้เขาจะรู้สึกกับทุกคนรอบข้างโดยเท่าเทียมกัน ขอเพียงแค่เป็นคนที่ได้รับการยอมรับจากเขา เขาย่อมปฏิบัติต่อทุกคนอย่างดีแน่นอน

แต่ทุกคนที่อยู่รอบกายเขา ล้วนมีพรสวรรค์สูงต่ำแตกต่างกันไป ใช่ว่าทุกคนจะมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม หากคนที่มีพรสวรรค์ ย่อมบ่มเพาะเป็นพิเศษ ส่วนคนที่ค่อนข้างด้อยพรสวรรค์ เขาก็จะสรรหาวิชาและทรัพยากรมาให้พวกเขาได้ฝึกตน แต่จะไม่มีการบ่มเพาะเป็นพิเศษ

เหยียนเยว่เอ๋อร์กับเหยียนซีโรว่ต่างมีพรสวรรค์ที่ค่อนข้างดี อีกทั้งยังเป็นภรรยาของเขา ย่อมต้องบ่มเพาะเป็นพิเศษอย่างแน่นอน ส่วนซิงเฉิน เสิ่นปิงหยู ลวี่โหลว และหงเหยียนทั้งสี่คน ล้วนเป็นคนที่ควรค่าแก่การบ่มเพาะเป็นพิเศษ

ส่วนเจ้าหนูลาร์ ถึงแม้จะเป็นยักษ์ตรีภพ แต่เติบโตค่อนข้างช้า ทำให้การบ่มเพาะด้วยการให้ทรัพยากรจำนวนมากนั้น ไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร

ยังมีช่าจื่อเยียนอีกคน ถึงแม้ในใจของหลัวซิว เขามองนางเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด แต่พรสวรรค์ของนางกลับค่อนข้างต่ำ ถึงแม้จะมีวิชาและทรัพยากรที่ดี การฝึกตนได้ถึงแดนเทพมารระดับเจ็ดก็นับว่าดีมากแล้ว ส่วนเทพมารระดับเก้านั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

ส่วนลวี่โหลว หลัวซิวค่อนข้างให้ความสำคัญ ถึงแม้นางจะเป็นทายาทของราชาเทพว่านเริ่น แต่พรสวรรค์กลับเหนือกว่าราชาเทพว่านเริ่นไปหนึ่งระดับ

ดังนั้นหลัวซิวไม่เพียงถ่ายทอดวิชาการกลั่นร่างและวิถีห้วงเวลาให้นางเท่านั้น แต่ยังถ่ายทอดเคล็ดลับของวิถีไร้ลักษณ์เปลี่ยนแปลงห้วงเวลา ให้นางเกิดการสัมผัสรู้ขึ้นมาจากในนั้น

ผ่านไปครึ่งเดือน ลวี่โหลวที่อยู่ในกระบวนการสัมผัสรู้ความลึกลับของห้วงเวลาอยู่ตลอดเวลา ก็ค่อย ๆ ได้สติขึ้นมา

นางมองเห็นหลัวซิวที่ยืนอยู่ตรงหน้า ก็คิดจะขอบคุณในความเมตตาของท่านนายทันที

“ไม่ต้องมากพิธีหรอก” หลัวซิวโบกมือ แล้วพูดว่า “พวกเรามาคุยเรื่องหุบเขาสยบปีศาจกันดีกว่า”

เมื่อพูดถึงหุบเขาสบยปีศาจ ลวี่โหลวก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา “ท่านนาย ทันทีที่หุบเขาสยบปีศาจเปิดออก จะต้องเกิดการต่อสู้ที่ดุเดือดขึ้นอย่างแน่นอน และสำนักเซียนต้าโหลวก็ต้องเดินทางไปด้วยแน่นอน”

“ไม่ต้องกังวลเรื่องสำนักเซียนต้าโหลว พวกเขาก็เป็นแค่ตัวตลกตัวหนึ่งเท่านั้น พาตราเขามังกรชิวไปด้วย ขอเพียงเทพมารระดับเก้ายังไม่ปรากฏตัวขึ้น ใครจะสามารถขัดขวางพวกเราได้ ?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ