มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2684

บรรพจารย์ต้าโหลวถูกหลัวซิวใช้ค่ายกลในหุบเขาสยบปีศาจสังหาร ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้าคนหนึ่ง ภายในแหวนเก็บของของเขามีวัตถุดิบชั้นยอดหลากหลายชนิด นอกจากสมบัติแล้ว สิ่งที่หลัวซิวให้ความสำคัญมากกว่ากลับเป็นม้วนอยู่แผนที่ดาวชิ้นหนึ่ง

ห้วงดาราของโลกร้างกว้างใหญ่มากเกินไป มาตรแม้นว่าเป็นม้วนหยกแผนที่ดาวชิ้นนี้ของบรรพจารย์ต้าโหลว ก็ไม่ได้ครอบคลุมทั้งโลกร้างเช่นกัน มีเพียงแผนที่ดาวของอาณาจักรตะวันออกแห่งโลกร้างเท่านั้นที่ค่อนข้างละเอียด การบรรยายที่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรดาราใหญ่ทั้งสี่ที่เหลือ กลับค่อนข้างคลุมเครือเรียบง่าย 

ในธาตุดาราขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ไม่ได้มีเพียงดวงดาวเท่านั้น มีแผ่นดินใหญ่ที่เกิดจากการพุ่งชนของอุกกาบาตขนาดใหญ่เช่นกัน ซึ่งแผ่นดินใหญ่เหล่านั้นล้วนลอยอยู่กลางห้วงดารา มีบางส่วนที่ถูกผู้มากอิทธิพลสุดล้ำยึดครอง และมีบางส่วนที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่บางจุดอย่างมั่นคงเพราะเหตุผลพิเศษ จึงส่งผลให้ประกอบเป็นพสุธาห้วงดาราที่พิเศษ

ยกตัวอย่างเช่นพสุธาห้วงดาราที่หุบเขาสยบปีศาจคงอยู่ ซึ่งหาพบสถานที่ในทำนองนี้ได้จากห้วงดาราของโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดเยอะมาก

หลังจากฉีกกระชากอนัตตาออกมาจากหุบเขาสยบปีศาจแล้ว หลัวซิวก็มาถึงสถานที่ที่มีนามว่าธาตุดาราเคล็ดอัสนี ในธาตุดาราเคล็ดอัสนีมีสถานที่ที่ชื่อว่าพสุดาราหวูซิน ซึ่งมันก็คือแผ่นดินหนึ่งที่ลอยอยู่กลางห้วงดารานั่นเอง

พสุดาราหวูซินมีประวัติศาสตร์ยาวนาน ที่นี่เคยเจริญรุ่งเรืองอยู่ช่วงหนึ่ง เนื่องจากเคยมีผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานคนหนึ่งบังเกิดที่นี่ ซึ่งถูกเรียกขานว่าประมุขดาราหวูซิน

ทว่ากาลเวลาไร้ความปราณี มาตรแม้นว่าผู้ที่แข็งแกร่งปานประมุขดาราหวูซิน ก็ไม่มีทางคงอยู่ได้ชั่วนิรันดร์ พสุดาราหวูซินก็เสื่อมทรุดลงไปตั้งแต่เมื่อหลายสิบล้านกว่าปีก่อนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือกระทั่งปัจจุบัน มันก็ตกต่ำจนกลายเป็นกองกำลังที่ไม่มีชื่อเสียง แทบจะไม่มีคนถามไถ่ถึงเลย 

ในกาลเวลาอันไกลโพ้น ที่นี่เคยมีสำนักหนึ่งชื่อว่าสำนักหวูซิน แต่สำนักเขาของสำนักหวูซินหายไปตั้งนานแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของสำนักหวูซินในตอนแรก ก็จมหายเข้าไปในฝุ่นละอองของประวัติศาสตร์เช่นกัน

เมื่อหลัวซิวมาถึงพสุดาราหวูซิน ก็รู้สึกทอดถอนใจเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ 

“นายท่าน ที่นี่ใช่พสุดาราหวูซินจริง ๆ หรือ?”เท้าของลาร์เหยียบลงบนแผ่นดินใหญ่ของพสุดาราหวูซิน ก่อนจะขมวดคิ้วลงอย่างควบคุมไม่ได้ 

เมื่อหลายสิบล้านปีก่อน เขาเคยทำสงครามปราบปรามไปทั้งแปดทิศร่วมกับนายท่าน และเคยมาพสุดาราหวูซินหลายครั้ง เดิมทีที่นี่เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับการฝึกยุทธ์ ทว่าปัจจุบันพลังจิตกลับแห้งเหือด สภาพการณ์ทุกจุดล้วนดูเสื่อมโทรมมาก 

“ที่นี่ต้องใช่พสุดาราหวูซินอยู่แล้วสิ”หลัวซิวเบิ่งมองออกไปไกล ๆ พสุธาห้วงดาราไม่มีท้องฟ้า เมื่อเงยหน้าขึ้นก็จะสามารถมองเห็นห้วงดาราที่กว้างใหญ่ไพศาล ดวงดาวนับไม่ถ้วนที่ลอยอยู่บนห้วงดาราและทางช้างเผือกที่พาดผ่าน

ถึงแม้ผลการฝึกตนของเขายังไม่บรรลุสูงถึงอย่างในอดีต แต่กลับสามารถสัมผัสได้อย่างว่องไวและเฉียบแหลมว่า สาเหตุที่พสุดาราหวูซินเปลี่ยนจากแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการฝึกยุทธ์เสื่อมทรุดลงมาจนถึงขั้นนี้ได้นั้น เป็นเพราะพลังจิตลมปราณเซียนที่ฝังซ่อนอยู่ในส่วนลึกของแผ่นดินพสุดาราแห่งนี้ถูกผู้อื่นดูดไปแล้ว 

การฝึกยุทธ์นั้นจะขาดพลังจิตไม่ได้ ซึ่งพลังจิตก็แบ่งออกหลายประเภทเช่นกัน มีพลังจิตที่ประกอบจากธาตุกฎ และมีพลังจิตที่ประกอบจากเกณฑ์พลังเต๋าด้วย สถานที่ที่มีพลังจิตที่นับไม่ถ้วนผนึกรวมกัน ต้องมีลมปราณเซียนถูกหล่อเลี้ยงวิวัฒนาการออกมาอย่างแน่นอน ก็เหมือนเช่นเดียวกันกับหุบเขาสยบปีศาจของเขา ภายในไม่ได้มีลมปราณเซียนฝังซ่อนอยู่เพียงสายเดียวเท่านั้น จึงส่งผลให้แก่นสารพลังจิตเข้มข้นอย่างยิ่ง 

เมื่อภพชาติก่อนในอดีต ข้างกายเขามีผู้ติดตามที่เป็นทำนองเดียวกันกับราชาเทพว่านเริ่นและลาร์ และมีมิตรสหายที่ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ทำสงครามกันด้วย ถึงแม้ไท่ซ่างฉิงจะตัดอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองทิ้งแล้ว แต่ในใจเขาก็มีการแบ่งมิตรศัตรูอยู่ 

นายแห่งพสุดาราหวูซินหรือประมุขดาราหวูซินในอดีตก็เป็นสหายเก่าคนหนึ่งของเขาเช่นกัน เคยต่อต้านศัตรูตัวฉกาจร่วมกับเขา จับมือร่วมก้าวไปข้างหน้าพร้อมกัน สามารถพูดได้เลยว่าเป็นสหายที่เคยร่วมฝ่าฟันความเป็นความตายกันมาก่อน 

ระยะเวลาหนึ่งยุคตรีภพนั้นยาวนานมากเกินไป ถึงแม้จะยึดกุมอุบายปรปักษ์สวรรค์ชั้นเลิศ ก็มีน้อยคนมากที่สามารถมีอายุขัยมากกว่าหนึ่งยุคตรีภพ ยิ่งเป็นจอมยุทธ์ที่ศักยภาพแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ระดับความยากในการแหกกฎสวรรค์ยืดอายุขัยก็ยิ่งยาก 

สาเหตุที่ลาร์สามารถยืดอายุขัยอยู่ในมหาค่ายแห่งเทือกเขาลั่วหยุนจวบจนปัจจุบันนั้น ด้านหนึ่งเป็นเพราะตัวตนของเขาคือยักษ์อัสนี ซึ่งมีอายุขัยที่ยาวนานมาก ๆ ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่สาเหตุหลักกลับเป็นเพราะศักยภาพของเขาไม่ถือว่าแข็งแกร่งมากเท่าไหร่นัก อยู่เพียงแดนเทพมารระดับเจ็ด

ยกตัวอย่างเช่นบรรพอาจารย์ท่านนั้นในตระกูลต้าฉินที่คงอยู่ในปัจจุบันก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน เขาคือมกุฎเทพระดับเก้า อาศัยภูมิฐานที่ตระกูลต้าฉินยึดกุม ควบคู่กับการใช้อุบายแหกกฎสวรรค์ เวลาส่วนมากล้วนอยู่ในสภาวะนอนหลับใหล ถึงสามารถคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน ก้าวข้ามขีดจำกัดหนึ่งยุคตรีภพ 

แต่ถ้าเกิดเป็นจักรพรรดิเทพระดับเก้าคนหนึ่ง เช่นนั้นโอกาสที่จะยืดอายุขัยก้าวข้ามขีดจำกัดก็จะยิ่งต่ำ หากเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า ก็ยิ่งไม่มีความเป็นไปได้เลย นอกเสียจากว่ากลับชาติมาเกิดผ่านวัฏสงสาร ถึงจะมีโอกาสเสี้ยวหนึ่ง

แต่ทว่าโอกาสในการกลับชาติมาเกิดผ่านวัฏสงสารนั้นต่ำเกินไป หลังจากผู้แข็งแกร่งส่วนมากกลับชาติมาเกิดแล้ว ขณะที่ยังไม่ปลุกตื่นความทรงจำของชาติปางก่อน ก็มีโอกาสดับสลายสูญสิ้นง่ายมาก ๆ และทันทีที่ดับสลายสูญสิ้นไปแล้ว วิญญาณชีวีก็จะกลับชาติมาเกิดอีกครั้ง หลังจากจำนวนในการกลับชาติมาเกิดมากเกินไป ก็จะสูญเสียโอกาสในการปลุกตื่นความทรงจำ สูญสิ้นไปจากวัฏสงสาร

กาลเวลาและนิรันดรเป็นประเด็นที่ทำให้ผู้แข็งแกร่งทอดถอนใจตลอดมา 

เสาะหาตามความทรงจำในอดีต ก่อนหลัวซิวจะมาถึงที่ตั้งเดิมของสำนักหวูซิน ทว่าสำนักเขาของสำนักหวูซินไม่คงอยู่ตั้งนานแล้ว สิ่งที่เข้ามาทดแทนคือคูเมืองขนาดใหญ่ที่ดูโบราณและเรียบง่าย 

หากจะเข้าไปในเมืองจำเป็นต้องจ่ายโอสถแก่นแท้ระดับห้าหนึ่งเม็ด ซึ่งนั่นก็หมายความว่าอย่างน้อยผลการฝึกตนก็ต้องเป็นเทพมารระดับห้า ถึงจะมีสิทธิ์ฝ่าฟันในห้วงดารา 

คูเมืองแห่งนี้ก่อสร้างอยู่บนพสุดาราหวูซิน และสร้างอยู่บนที่อยู่เก่าของสำนักหวูซินอีกด้วย ซึ่งชื่อของมันก็ต้องตั้งจากหวูซินอยู่แล้ว มีนามว่าเมืองหวูซิน

หลังจากเข้าไปในเมือง หลัวซิวก็เริ่มแผ่ขยายตัวสำนึกของตัวเองออกไปแล้ว จอมยุทธ์ส่วนมากที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนี้ล้วนมีผลการฝึกตนเทพมารระดับห้าถึงเทพมารระดับหก ผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเจ็ดนั้นหาพบได้ยากมาก 

สาเหตุที่หลัวซิวมาที่นี่นั้น เป็นเพราะเขาบังเอิญมาถึงธาตุดาราเคล็ดอัสนีพอดี บวกกับอยู่ใกล้กับพสุดาราหวูซินมากด้วย สำนักหวูซินไม่คงอยู่อีกต่อไปแล้ว เขาจึงไม่มีความคิดที่จะมาทำอะไรที่นี่เช่นกัน ทว่าในใจแค่มีความรำลึกและทอดถอนใจมากขึ้นเท่านั้น 

มาถึงภัตตาคารแห่งหนึ่งในเมือง หลัวซิวนั่งลงตรงตำแหน่งที่ใกล้กับหน้าต่าง พนักงานในภัตตาคารเห็นว่าเขาดูหนุ่ม ด้านหลังก็มีผู้ติดตามด้วย จึงสันนิษฐานว่าเขาน่าจะเป็นศิษย์ที่มาจากสำนักตระกูลใดสำนักตระกูลหนึ่ง ก่อนพนักงานจะเดินเข้ามาอย่างกระตือรือร้น

หลัวซิวขอเหล้าหนึ่งกาและแก้วเหล้าอีกสองใบ เขาเทเหล้าลงไปในแก้วทั้งสองใบจนเต็ม แล้ววางแก้วใบหนึ่งลงฝั่งตรงข้ามตัวเอง

ลาร์ยืนอยู่ด้านหลังเขา มีเพียงเขาเท่านั้นที่ทราบว่าเหล้าแก้วนี้ นายท่านได้เทให้ประมุขดาราหวูซิน

ราวกับภาพฉากได้หยุดนิ่งไปแล้วยังไงอย่างนั้น หลัวซิวก็ไม่ได้ดื่มเหล้าเช่นกัน แก้วเหล้าทั้งสองใบถูกวางอยู่บนโต๊ะอย่างนิ่ง ๆ

“ได้ยินมาว่าเมื่อไม่นานมานี้สมาคมเทียนสุ่ยเพิ่งจับกุมตัวคนได้หนึ่งคน เล่ากันว่าเป็นกากเดนของสำนักหวูซิน”

ผู้อาวุโสคนหนึ่งค่อย ๆ เอ่ยปากพูด เขาคือผู้อาวุโสใหญ่ของสมาคมเทียนสุ่ย และเป็นผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเจ็ดที่ผลการฝึกตนเป็นรองเพียงฉิวเทียนสุ่ยด้วย

ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น เขาก็หยิบแหวนเก็บของออกมาหนึ่งวง “นี่คือแหวนเก็บของของกากเดนสำนักหวูซินนั่น ภายในก็ไม่มีม้วนหยกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับวรยุทธ์พลังอมตะเลยแม้แต่น้อย”

เมื่อฉิวเทียนสุ่ยได้ยินคำพูดเหล่านี้ จึงขมวดคิ้วลงไปเล็กน้อย “สำนักหวูซินเป็นการถ่ายทอดสืบสานระดับแดนศักดิ์สิทธิ์ เล่ากันว่าเมื่อหลายสิบล้านปีก่อน ประมุขดาราหวูซินเป็นผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพระดับเก้า หากมองในอดีต นั่นมันผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานที่สามารถกวาดล้างอาณาจักรตะวันออกแห่งโลกร้างได้เชียวนะ แมลงร้อยขา ตายไปก็ไม่ล้ม เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้วรยุทธ์พลังอมตะหลักรั่วไหลออกไป กากเดนสำนักหวูซินย่อมมีอุบายในการป้องกันอยู่แล้ว”

“ท่านหัวหน้าแก๊ง จะเชิญให้เจ้าเมืองหวูซินออกโรงหรือไม่ขอรับ? เจ้าเมืองหวูซินเป็นผู้แข็งแกร่งที่เดินบนวิถีกลั่นวิญญาณ บางทีอาจจะสามารถทลายตัวต้องห้าม และได้รับสิ่งที่เราต้องการจากตัวหยั่งรู้ความทรงจำของกากเดนสำนักหวูซินนั่น”

“หึ หากเจ้าเมืองหวูซินทลายตัวต้องห้ามแล้วได้รับวรยุทธ์การถ่ายทอดสืบสานหลักของสำนักหวูซิน เจ้าคิดว่ามันจะเอาออกมาแบ่งปันกับเราหรือ?”ฉิวเทียนสุ่ยทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง เขายอมที่จะไม่ได้ครอบครองมัน แต่ก็ไม่มีทางไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าเมืองหวูซิน 

“ตู้มม!”

และในเวลานี้เอง จู่ ๆ หอคอยของสมาคมเทียนสุ่ยก็สั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างรุนแรง เสียงดังลั่นที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินถึงขั้นสะท้อนไปยังทั่วทุกมุมเมืองหวูซิน

มหาค่ายเทพระดับเจ็ดถูกเปิดออกภายในพริบตา แสงค่ายสีฟ้าน้ำแข็งทั้งหลายผนึกรวมกันกลายเป็นม่านแสง ทำการปกคลุมทั้งหอคอยเอาไว้ แสงค่ายสีฟ้าน้ำแข็งเหล่านี้ล้วนวิวัฒนาการออกมาจากลายค่ายที่มีพลังเกณฑ์ธาตุน้ำแข็งสลักจารึก  

“ผู้ใด? บังอาจมาโจมตีสำนักงานใหญ่สมาคมเทียนสุ่ยของเราอย่างนั้นหรือ?”

เสียงตะคอกที่โกรธเกรี้ยวสะท้อนออกไปจากชั้นบนสุดของหอคอย ฉิวเทียนสุ่ยที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเดินนำออกมาก่อน ด้านหลังเขามีผู้อาวุโสทั้งหมดหกคนโดยครอบคลุมผู้อาวุโสใหญ่ด้วย 

นอกหอคอยสมาคม มีชายหนุ่มที่อยู่ในชุดคลุมยาวดำคนหนึ่งกำลังใช้มือทั้งสองข้างไขว้ไว้ด้านหลังแล้วลอยอยู่กลางนภา แต่ทว่าสิ่งที่ดึงดูดสายตากลับไม่ใช่ชายหนุ่มคนนั้น แต่เป็นหนุ่มที่หุ่นร่างกำยำปานหอคอยเหล็กคนหนึ่ง ในมือเขามีกระบองเหล็กสีดำขลับหนึ่งเล่ม ซึ่งเสียงดังลั่นที่เกิดขึ้นในเมื่อครู่นี้ก็เกิดจากการที่เขาใช้กระบองเหล็กฟาดลงไปนี่แหละ 

“รนหาที่ตาย!”

ผู้อาวุโสทั้งห้าคนที่ยืนอยู่ด้านหลังฉิวเทียนสุ่ยพุ่งตรงไปภายในพริบตา ในสมาคมเทียนสุ่ย นอกจากฉิวเทียนสุ่ยและผู้อาวุโสใหญ่ที่มีผลการฝึกตนเป็นเทพมารระดับเจ็ดแล้ว ผู้อาวุโสอีกห้าคนที่เหลือล้วนอยู่ในแดนเทพมารระดับหกขั้นสูง 

“แหะ ๆ มีพวกสวะที่รนหาที่ตายพุ่งเข้ามาแล้ว”

ลาร์แสยะยิ้มทีหนึ่ง เห็นเพียงเขาสะบัดหัวครั้งหนึ่ง มฤตยูชี่ฉกรรจ์จึงเริ่มโหมพัดเสียงดังปานคำราม ถัดจากนั้นก็เห็นว่าศีรษะของเขาใหญ่ขึ้นกะทันหัน อ้าปากแล้วเผยให้เห็นฟันที่เฉียบคมดั่งดาบกระบี่ เสียงแคว็กดังขึ้น อนัตตาถูกฉีกกระชากออกจนเสื่อมทรุดเป็นวงกว้าง 

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ