มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2689

เปียนหยวนสงไม่รู้ว่าหลัวซิวคิดอะไรอยู่ เขารู้แค่ว่าตัวเองบรรลุถึงแดนเทพมารระดับแปดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่กลับยังไม่สามารถจัดการมดตัวจ้อยที่ผลการฝึกตนเทียบเคียงกับตัวเองไม่ได้อีก นี่เป็นเรื่องที่ทำให้เขายอมรับไม่ได้อย่างเด็ดขาด 

“ไปตายซะเถอะ!”

ภายใต้อารมณ์โกรธที่ล้นฟ้า จิตสังหารบนหอกยุทธ์สีเลือดก็ดุเดือดมากยิ่งขึ้น เขาตัดสินใจแล้วว่าขอแค่สามารถกำราบเจ้าหมอนี่ได้ วรยุทธ์เคล็ดวิชาทั้งหมดที่เขาฝึกก็จะกลายเป็นสมบัติของตน

รัศมีเทวที่แวววาวจับตาได้แผ่คลุมร่างกายหลัวซิวเอาไว้ ในยันต์ค่ายทั้ง 99 ที่สลักจารึกอยู่ในร่างเนื้อ มียันต์ค่ายคุ้มกัน 33 ยันต์ ทุกยันต์ล้วนมีความล้ำลึกในการตระหนักรู้วิถีค่ายของเขาผนึกรวมอยู่ ซึ่งเทียบเท่าค่ายกลเทพระดับเจ็ด

ถึงแม้คู่ต่อสู้จะเป็นผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับแปดคนหนึ่ง แต่ยันต์ค่ายคุ้มกันระดับเทพระดับเจ็ด บวกกับร่างยุทธ์ของเขาที่แข็งแกร่งเท่าอาวุธเทพระดับเจ็ด พลังโจมตีระดับนี้ของฝ่ายตรงข้ามยังไม่สามารถสร้างภัยคุกคามที่อันตรายถึงชีวิตให้เขา

ในขณะเดียวกัน เขาก็ใช้วิถีไร้ลักษณ์โคจรเกณฑ์พลังเต๋า ปริภูมิบริเวณรอบ ๆ จึงแข็งทื่อขึ้น แล้วประกอบเป็นเกราะป้องกันที่แข็งแกร่ง ดั่งกำแพงเมืองแข็งแกร่งมั่นคงที่กำลังภายนอกยากที่จะตีเข้ามาได้ 

“ตู้มม!”

หลัวซิวฝืนต้านทานหอกนี้เอาไว้ เนื่องจากเขาอยากลองดูว่า พลังโจมตีของผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับแปดจะสามารถทำอะไรเขาได้ 

เสียงระเบิดดังลั่นที่สะเทือนฟ้าทำให้อนัตตาระเบิดแตก พลังโจมตีหนึ่งที่โกรธเกรี้ยวของเปียนหยวนสงได้บดขยี้ปริภูมิจนแตกเป็นวงกว้าง ร่างกายของหลัวซิวกระเด็นออกไปภายในพริบตา และมีเลือดไหลออกมาจากมุมปากเล็กน้อย 

“นะ……นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?”เปียนหยวนสงเบิกตากว้าง แม้นหอกในเมื่อครู่นี้จะไม่ใช่อุบายที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา แต่เมื่อโจมตีด้วยผลการฝึกตนเทพมารระดับแปด เจ้าหมอนี่จะมีทางต้านทานเอาไว้ได้อย่างไร?

และสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ เขาพบว่าดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามจะบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ร่างยุทธ์ร่างเนื้อของเขามันแข็งแกร่งถึงระดับที่วิปริตมากเพียงใดกันแน่?

“เจ้ามีศักยภาพเท่านี้เองหรือ?”

ในตำแหน่งที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตร หลัวซิวยืนลอยอยู่กลางอากาศ ได้ยินเพียงเสียงตู้มดังลั่นขึ้นมาครั้งหนึ่ง ปริภูมิก็ถูกเขาเหยียบจนระเบิดแตก ชุดคลุมยาวดำดังฟึ้บฟั้บท่ามกลางสายลม

ดวงตาปานสายฟ้าคู่นั้นของเขาร่วงลงบนตัวเปียนหยวนสง พลางเช็ดคราบเลือดบริเวณมุมปากทิ้ง “ถ้าเกิดมึงมีศักยภาพเท่านี้เองละก็ เช่นนั้นเทพมารระดับแปดของมึงก็อ่อนเกินไปแล้ว”

“มึงมันรนหาที่ตาย!”

มีจิตสังหารพรั่งพรูออกมาจากดวงตาเปียนหยวนสง หอกเทวสีเลือดทลายแสงอัสนีที่ผ่าลงมาจนแตกสลายอย่างสบายมือ หอกเทวราวกับกลายเป็นมังกรสีเลือดหนึ่งตัว คำรามแล้วพุ่งตรงไปทางหลัวซิว

ดูเหมือนจะเป็นกระบวนท่าเดียวกัน ทว่าครั้งนี้เมื่อเปียนหยวนสงประชิดใกล้เข้ามาพร้อมกับหอกเทว ดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็กลายเป็นสีดำสนิทกะทันหัน พลังตัวสำนึกวิญญาณที่แข็งแกร่งปะทุออกมาจากห้วงจักรหยั่งรู้ของเขา

“ไอ้โง่เง่า ไปตายซะเถอะ!”

การโจมตีวิญญาณเป็นอุบายที่แข็งแกร่งที่สุดของเปียนหยวนสงต่างหาก ขณะที่ประมือเข่นฆ่ากัน การป้องกันการโจมตีทางวิญญาณนั้นทำได้ยากมาก การต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและมากมาย ถึงแม้สติจะหลุดไปเพียงชั่วขณะเท่านั้น ก็เพียงพอที่จะสร้างภัยคุกคามที่อันตรายแก่ชีวิตได้แล้ว

และเป็นเพราะอาศัยอุบายประเภทนี้นี่เอง เปียนหยวนสงถึงสามารถค่อย ๆ พัฒนาขึ้นมาจากการเข่นฆ่า จากตอนแรกที่ไม่มีอะไรเลย จนกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่ควบคุมพสุธาห้วงดาราแห่งหนึ่ง 

“นี่ก็คือที่พึ่งพิงที่มึงหมายถึงหรือ?”

หลัวซิวหัวเราะออกมาแล้ว ตั้งแต่วิญญาณช่องจิตแปรเปลี่ยนเป็นญาณเทว สามารถพูดได้เลยว่าสิ่งที่เขาไม่กลัวมากที่สุดก็คือการโจมตีวิญญาณ 

บางทีพลังตัวสำนึกของเขาอาจจะแข็งแกร่งไม่มากพอ พลังโจมตีวิญญาณที่ปลดปล่อยออกไปสร้างผลกระทบให้ผู้ที่มีผลการฝึกตนสูงกว่าตนยากมาก ๆ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องพลังป้องกันอย่างเดียวละก็ หลัวซิวกลับมีความมั่นใจที่เต็มเปี่ยมมาก

ตัวสำนึกของเปียนหยวนสงแข็งแกร่งมาก มีออร่าที่โหดร้ายทารุณและโกรธเกรี้ยวปนอยู่ด้วย ราวกับแสงหอกที่เฉียบคมมากจนไม่อาจต้านทานได้ ทิ่มแทงเข้าไปในตัวหยั่งรู้ของหลัวซิวอย่างดุดัน

ตัวหยั่งรู้ของหลัวซิวเหมือนดั่งห้วงดาราที่กว้างใหญ่ไพศาล แสงที่กระพริบระยิบระยับปานดวงดาว ผนึกรวมกันจนกลายเป็นเส้นทางช้างเผือก และนี่ก็คือห้วงวนความทรงจำของเขา

ในห้วงวนความทรงจำ ญาณเทวร่างมนุษย์กำลังนั่งท่าขัดสมาธิอยู่บนดาราดวงหนึ่งแล้วค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา 

“ตู้มม!”

มือใหญ่ข้างหนึ่งยื่นออกมาจากห้วงวนความทรงจำ แสงหอกที่กลายมาจากตัวสำนึกวิญญาณของเปียนหยวนสงจึงถูกจับภายในพริบตา ราวกับงูเล็กตัวหนึ่งที่ดิ้นรนเพราะถูกคีมเหล็กหนีบไว้ ขยับไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

การปะทะกันระหว่างวิญญาณกับวิญญาณเกิดขึ้นภายในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ณ โลกาภายนอก เดิมทีเปียนหยวนสงนึกว่าเมื่ออยู่ภายใต้การโจมตีทางวิญญาณของตัวเอง สติฝ่ายตรงข้ามต้องหลุดแน่นอน กระทั่งถูกเขาโจมตีตัวหยั่งรู้จนบาดเจ็บสาหัส แต่เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าพลังโจมตีวิญญาณของเขาจะถูกต้านทานเอาไว้ มากไปกว่านั้นคือแสงหอกวิญญาณที่เขาผนึกรวมออกมาก็ถูกทำลายทิ้งเช่นกัน 

ชายหนุ่มชุดคลุมยาวดำที่อยู่ฝั่งตรงข้ามไม่ได้รับผลกระทบจากพลังโจมตีวิญญาณเลยด้วยซ้ำ ตรงมุมปากมีรอยยิ้มอันเยือกเย็นที่ดูเยาะเย้ย เงาร่างกระพริบครั้งหนึ่ง ก่อนปรากฏตรงหน้าเขาภายในพริบตา 

“ปั้ง!”

ไม่รอให้เปียนหยวนสงตอบสนองกลับมาได้ กำปั้นของหลัวซิวก็ทุบลงบนหน้าอกเขาอย่างรุนแรงก่อนแล้ว ร่างกายของเปียนหยวนสงกระเด็นลอยออกไปไกลหลายร้อยเมตร เกราะสงครามที่เป็นอาวุธเทพระดับเจ็ดบนตัวแตกเป็นชิ้น ๆ แล้วกระอักเลือด

และในเวลานี้เอง ทัณฑ์สายฟ้าพิโรธก็มาถึงช่วงที่รุนแรงมากที่สุดเช่นกัน สายฟ้าที่นับไม่ถ้วนผ่าลงมาอย่างต่อเนื่องดั่งพายุมรสุม เปียนหยวนสงกระอักเลือดติดต่อกันหลายครั้ง สภาพร่างกายดูจนตรอกและน่าเวทนา 

แต่ทว่าศักยภาพของเปียนหยวนสงก็แข็งแกร่งมากจริง ๆ ถึงแม้จะอยู่ภายใต้การถูกทัณฑ์สายฟ้าที่บ้าระห่ำเช่นนี้ผ่า เขาก็ยังไม่ตาย หลังจากฝืนต้านทานทัณฑ์สายฟ้าในรอบนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ทัณฑ์สายฟ้ารอบถัดไปยังไม่ทันผ่าลงมา ก็มีความเกลียดแค้นที่ดุร้ายกระพริบระยิบระยับอยู่ในดวงตาเขา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ