มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2690

ค่ายกลผนึกฟ้าดิน นี่ต้องเป็นอุบายที่มาจากตัวหลัวซิวอยู่แล้ว 

ค่ายยากเย็นเทพระดับเจ็ดยังไม่เพียงพอที่จะสามารถกักขังยอดฝีมืออย่างเฉว่ซ่าได้ ทว่าการที่เฉว่ซ่าจะอยากพุ่งออกไปนั้น ก็ต้องใช้เวลาเช่นกัน 

ยังไม่รอให้เฉว่ซ่าได้ลงมือทำลายค่าย เงาร่างหลัวซิวก็กระพริบแล้วปรากฏตรงหน้าเขา

“เกณฑ์ความเร็ว?”

รูม่านตาของเฉว่ซ่าหดลงกะทันหัน เสี้ยววินาทีที่หลัวซิวนี่ปรากฏตัวกะทันหัน เขาก็สัมผัสเกณฑ์พลังเต๋าได้จากตัวคนดังกล่าวแล้ว 

“ถูกต้อง ไม่ได้มีแค่มึงเท่านั้นที่เข้าใจเกณฑ์ความเร็ว”

หลัวซิวยิ้มอ่อน “อีกทั้งเกณฑ์ความเร็วไม่ใช่สิ่งที่เร็วที่สุด มีเพียงการหลอมรวมปริภูมิและความเร็วเข้าด้วยกัน ถึงจะเป็นความเร็วสูงสุดในโลกหล้านี้”

ในระหว่างที่พูดอยู่นั้น หลัวซิวก็โบกมือลงกลางอากาศที่ว่างเปล่ารอบหนึ่ง ออร่าพลังเต๋าของเกณฑ์ปริภูมิจึงไหลเวียนออกมา และมีความล้ำลึกที่ไร้ขอบเขตแฝงซ่อนอยู่ด้วย 

เฉว่ซ่าไม่ได้พูดอะไร สีหน้าอารมณ์ของเขาดูตึงเครียดมากในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ชายที่อยู่ตรงหน้านี้สมกับเป็นผู้แข็งแกร่งที่สามารถสังหารเปียนหยวนสงได้จริง ๆ ความแข็งแกร่งของคนคนนี้อยู่เหนือการจินตนาการของเขาแล้ว 

“กูจักไว้ชีวิตมึงก็ได้ แต่กูจะให้มึงสาบานด้วยตัวธรรม”หลัวซิวมองเฉว่ซ่าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามพลางยิ้มพลางพูด

ยอดฝีมือชั้นยอดของเมืองหวูซินแทบจะถูกเขาฆ่าจนไม่เหลือสักคนแล้ว เหลือเพียงเฉว่ซ่าคนเดียวเท่านั้น สาเหตุที่หลัวซิวไม่ฆ่าเขานั้น หลัวซิวต้องมีแผนการของตัวเองอยู่แล้ว 

“สาบานด้วยตัวธรรม?”เห็นได้ชัดเจนเลยว่าสีหน้าของเฉว่ซ่าดูลังเลใจอยู่เล็กน้อย อย่างไรเสียทันทีที่สาบานด้วยตัวธรรมแล้ว ก็จักฝ่าฝืนไม่ได้ มิเช่นนั้นจุดจบต้องน่าเวทนากว่าการถูกผู้อื่นสังหารแน่นอน 

อย่างไรก็ตามเฉว่ซ่าก็ลังเลใจเพียงชั่วขณะเท่านั้น ก่อนที่เขาจะตอบตกลง ยังไงซะหลังสาบานด้วยตัวธรรมแล้วยังสามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้อยู่ มิเช่นนั้นเขาเชื่อว่าคนดังกล่าวต้องลงมือฆ่าตัวเองอย่างไม่ลังเลใจแน่นอน

มีเรื่องใหญ่โตเกิดขึ้นในเมืองหวูซินต่อเนื่องมากขนาดนี้ เจ้าจวนกู่หยุน สองบุรุษเสือสิงห์ รวมไปถึงเจ้าเมืองทั้งสองต่างถูกฆ่าไปหมดแล้ว นี่จึงทำให้ทั้งเมืองหวูซินอลหม่านไปหมด 

หลัวซิวใช้ค่ายกลทำการผนึกทั้งเมืองหวูซินเอาไว้ เขาส่งลาร์และเฉว่ซ่าออกไป จึงสยบของวุ่นวายทั้งหมดในเมืองเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย ทำให้ระบบระเบียบของเมืองหวูซินฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว 

ณ ห้องโถงใหญ่ตำหนักหลักเมืองที่เพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่ หลัวซิวนั่งอยู่บนเก้าอี้ ส่วนชายหนุ่มที่ถูกเขาช่วยออกมาจากสมาคมเทียนสุ่ยกลับยืนอยู่ด้านหน้าเขาด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน 

“ข้า……ข้าชื่อฉู่จวิ้นไฉ”ชายหนุ่มไม่รู้ว่าควรเอ่ยปากพูดอย่างไรดี แต่ทว่านี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่เขาพูดชื่อตัวเองต่อหน้าหลัวซิว

“ข้ารู้ว่าเจ้ามีคำถามมากมายอยากถามข้า เจ้ารู้สึกสงสัยมาก ๆ ว่าเหตุใดข้าจึงรู้จักเวทย์นำมังกรไร้เจตน์ด้วย?”

หลัวซิวยิ้มอ่อน “ข้ามีบุพเพสันนิวาสต่อบรรพอาจารย์สำนักหวูซินของพวกเจ้าเล็กน้อย เพราะฉะนั้นหลังจากข้าได้ยินข่าวคราวของเจ้าแล้ว จึงไปช่วยเจ้าที่สมาคมเทียนสุ่ย”

“ท่านผู้อาวุโสพูดจริงหรือขอรับ?”ฉู่จวิ้นไฉรู้สึกตะลึงเล็กน้อย เขาสามารถดูออกอยู่ว่าอายุของหลัวซิวนี่น่าจะอยู่รุ่นราวคราวเดียวกันกับตน แล้วเขาจะมีทางมีบุพเพสันนิวาสต่อบรรพอาจารย์ของตนเองได้อย่างไร? 

“ข้ามีความจำเป็นต้องหลอกเจ้าด้วยหรือ? แม้แต่เวทย์นำมังกรไร้เจตน์ข้ายังใช้เป็นเลย เจ้ารู้สึกว่าข้าจะมุ่งหวังอะไรบนตัวเจ้าหรือ?”

เมื่อได้ยินคำตอบดังกล่าว สีหน้าอารมณ์ของฉู่จวิ้นไฉก็ดูเก้อเขินเล็กน้อย เนื่องจากหลัวซิวพูดถูก บนตัวเขานอกจากมีการถ่ายทอดสืบสานอย่างเวทย์นำมังกรไร้เจตน์แล้ว ก็ไม่มีของมีค่าอะไรอีกเลยจริง ๆ

แต่ทว่าแค่เวทย์นำมังกรไร้เจตน์ ก็ดึงดูดปัญหาที่นับไม่ถ้วนมาให้เขาแล้ว อย่างไรเสียเขาก็เป็นเพียงเทพมารระดับห้าช่วงปลายเล็ก ๆ คนหนึ่ง การที่มีวรยุทธ์จักรพรรดิเทพระดับเก้าติดตัวนั้น มันเป็นเรื่องโชคร้ายมากกว่าความโชคดี 

“ผู้น้อยไม่ควรสงสัยในตัวท่านผู้อาวุโส ไม่ทราบว่าท่านผู้อาวุโสมีบุพเพสันนิวาสต่อบรรพอาจารย์ท่านใดในสำนักหวูซินของเราหรือขอรับ?”

ฉู่จวิ้นไฉก้มคำนับอย่างเคารพนบนอบ ถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามจะดูเป็นรุ่นราวคราวเดียวกันกับตัวเองก็ตาม ทว่าในโลกแห่งการฝึกยุทธ์ ผู้แข็งแกร่งเป็นเจ้าตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเขาจึงเรียกคำว่าท่านผู้อาวุโสอย่างเคารพนอบน้อม

“เรื่องบางเรื่องเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้หรอก เจ้ารู้แค่ว่าข้าจักไม่ประสงค์ร้ายต่อเจ้าก็พอแล้ว”

หลัวซิวไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก ตั้งแต่ที่มาถึงโลกร้าง เขาก็สามารถสัมผัสได้อยู่ว่าดูเหมือนเรื่องราวต่าง ๆ ของไท่ซ่างฉิงเมื่อภพชาติก่อนของเขาจะกลายเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างหนึ่งไปแล้ว ในจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้ มีน้อยคนมาก ๆ แล้วที่ยังจำได้ว่าเคยมีคนอย่างเขาคงอยู่ในโลก

เขารู้สึกว่าทั้งหมดนี้ต้องมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขาทลายกงล้อวัฏจักรธรรมเมื่อปีนั้นแน่นอน ด้วยเหตุนี้เขาจึงบอกเล่าความเป็นมาของตนให้ผู้อื่นง่าย ๆ ไม่ได้ มิเช่นนั้นก็มีโอกาสนำพาหายนะมาสู่ตนได้สูงมาก 

“ข้าช่วยเจ้ากวาดล้างหนทางบนเมืองหวูซินเสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ข้าจักใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ระยะหนึ่ง เพื่อชี้แนะวิธีการฝึกเวทย์นำมังกรไร้เจตน์ให้แก่เจ้า อนาคตเจ้าจะมีผลสำเร็จและโชคอย่างไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับศักยภาพของตัวเจ้าเองแล้วล่ะ”

หลัวซิวเข้าใจดีมาก ๆ ว่าผลการฝึกตนของฉู่จวิ้นไฉต่ำเกินไป ทันทีที่เขาจากไปละก็ ถึงแม้จะมีเฉว่ซ่าที่สาบานด้วยตัวธรรมคอยปกครองอยู่ข้างกายเขา ก็ยืนหยัดอยู่ในเมืองหวูซินอย่างมั่นคงได้ยากมาก 

การยกระดับผลการฝึกตนไม่มีทางง่ายดั่งปอกกล้วยเข้าปาก มิเช่นนั้นมีแต่จะทำให้รากฐานของตนพังทลาย แต่เขาชี้แนะการฝึกตนให้ฉู่จวิ้นไฉด้วยแดนยุทธ์ของตัวเขาเอง คนทั่วไปไม่มีทางได้รับสวัสดิการเช่นนี้หรอกนะ เพราะนี่มันเทียบเท่าผู้แข็งแกร่งแดนผู้สูงส่งคนหนึ่งชี้แนะเขาเชียวนะ ซึ่งนี่เป็นสวัสดิการที่แม้แต่ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดยังไม่ได้ดื่มด่ำเลย!

ตำหนักหลักเมืองถูกสร้างขึ้นมาใหม่ หลัวซิวนำแหวนเก็บของของเจ้าจวนกู่หยุน สองบุรุษเสือสิงห์รวมไปถึงเปียนหยวนสงและเปียนหยวนจี๋ทิ้งไว้ให้ฉู่จวิ้นไฉ เมื่อมีทรัพยากรการฝึกตนเหล่านี้แล้ว อย่างน้อยก็เพียงพอที่จะสามารถทำให้เขาฝึกตนถึงแดนเทพมารระดับแปดได้โดยที่ไม่ต้องเครียดเรื่องทรัพยากร

ค่ายกลต้องห้ามของตำหนักหลักเมืองก็ถูกหลัวซิวจัดวางใหม่อีกครั้งเช่นกัน ปัจจุบันเขาสามารถจัดวางค่ายเทพระดับเจ็ดชั้นยอดได้แล้ว ค่ายเทพระดับเจ็ดสิบกว่าค่ายเชื่อมต่อถึงกันและกัน ทันทีที่พลานุภาพในทุกด้าน ๆ ระเบิดออกมา ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งแดนเทพมารระดับแปดก็ยังต้องหลีกเลี่ยง

นอกเหนือจากนี้แล้ว หลัวซิวยังทิ้งยันต์กระบี่เอาไว้ให้ฉู่จวิ้นไฉอีกหนึ่งชิ้น ภายในยันต์กระบี่นี้มีปราณกระบี่ร่องฟ้าผนึกอยู่สามเล่ม ซึ่งเพียงพอที่จะสามารถทำให้เขาใช้เพื่อข้ามผ่านหายนะสามครั้ง 

บวกกับมีเฉว่ซ่าพร้อมกับหอเฉว่ซ่าคอยปกครองอยู่ข้างกาย หากเป็นเช่นนี้แล้วฉู่จวิ้นไฉยังไม่สามารถยืนหยัดอยู่ในเมืองหวูซินได้อีกละก็ เช่นนั้นก็พูดได้แค่ว่าการถ่ายทอดสืบสานของสำนักหวูซินควรสิ้นสุดลงแล้ว!

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ