มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2710

เมื่อได้ยินคำพูดของราชาเทพนิศากรและราชาฟ้าเฉินหยาง คนจำนวนมากก็ยิ่งตื่นเต้นดีใจมากกว่าเดิม

ขอแค่ผ่านการแข่งขันรอบแรก ก็จะสามารถแข่งขันกับศิษย์แห่งตระกูลเทียนฮวงได้อย่างยุติธรรม สำหรับทุกคนแล้ว นี่เป็นเรื่องที่แค่คิดก็สามารถทำให้เลือดในตัวร้อนระอุได้แล้ว

ผู้คนในตระกูลที่สามารถได้รับการบ่มเพาะจากตระกูลเทียนฮวงนั้น ทุกคนล้วนไม่ใช่ผู้อ่อนแอ ต่างเป็นคนที่มีพรสวรรค์วิถียุทธ์สูงส่งติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ถ้าเกิดสามารถเอาชนะพวกเขาในการแข่งขันคัดเลือกรอบสอง ไม่เพียงจะได้รับการยอมรับและบ่มเพาะจากตระกูลเทียนฮวง ยิ่งจะได้รับชื่อเสียงอันเลื่องลือ โด่งดังไปทั่วโลกหล้า!

แน่นอนอยู่แล้วว่ามันก็มีโอกาสที่จะไม่มีผู้ใดเดินไปถึงขั้นสุดท้ายเช่นกัน บางทีทุกคนที่มาเข้าร่วมการแข่งขันคัดเลือกในรอบแรก ตลอดจนผู้ที่ผ่านการแข่งขันคัดเลือกในรอบแรก อาจจะไม่มีคนใดสามารถเอาชนะคนในตระกูลเทียนฮวงได้เลยก็เป็นได้

หากไม่มีผู้ใดสามารถทำได้ เช่นนั้นนอกเสียจากมีคนที่ได้รับความสนใจจากผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสี่แห่งตระกูลเทียนฮวง มิเช่นนั้นก็อาจไม่มีผู้ใดได้รับการยอมรับและถูกดึงเข้าตระกูลเทียนฮวงได้เลย

สาเหตุที่ตระกูลเทียนฮวงทำเช่นนี้นั้น ก็เป็นเพราะยอมไม่มีดีกว่าลดมาตรฐานเพื่อให้ได้เต็ม ต่อให้ดึงอัจฉริยะเข้ามาในตระกูลไม่ได้แม้แต่คนเดียว พวกเขาก็จะไม่นำทรัพยากรไปบ่มเพาะผู้ที่ไม่สอดคล้องกับเงื่อนไข

เมื่อเห็นกลุ่มคนที่อยู่ด้านล่างวิพากษ์วิจารณ์และตื่นเต้นดีใจ ราชาฟ้าเฉินหยางที่อารมณ์ไม่ค่อยดีก็ทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง เมื่อเสียงหึอันเยือกเย็นนี้ดังเข้าไปในหูทุกคน ก็ราวกับถูกค้อนทุบทีหนึ่งยังไงอย่างนั้น

“ทางที่ดีพวกเจ้าอย่ามองโลกในแง่ดีจะดีกว่า การแข่งขันคัดเลือกในทุก ๆ ครั้งของตระกูลเทียนฮวงล้วนโหดเหี้ยมมาก ๆ ในบรรดาสองแสนกว่าคน ผู้ที่สามารถเข้าสู่การแข่งขันคัดเลือกในรอบที่สองจักมีไม่ถึงหนึ่งหมื่นคน จากการแข่งขันคัดเลือกอัจฉริยะในรุ่นก่อน ๆ ผู้ที่สามารถได้รับการยอมรับและดึงเข้าไปในตระกูลเทียนฮวงของเราได้นั้น ทุกครั้งล้วนมีไม่ถึงสามคน!”

สามคน!?

เมื่อคนจำนวนไม่น้อยได้ยินตัวเลขดังกล่าว ต่างก็ผงะไปภายในพริบตา จากอัจฉริยะสองแสนกว่าคน ไม่นึกเลยว่าจะเลือกไม่ถึงสามคนอย่างนั้นหรือ?

อัตราการตกรอบเช่นนี้เรียกว่าโหดเหี้ยมอย่างไร นี่มันโหดเหี้ยมถึงขีดสุดชัด ๆ!

มาตรแม้นว่าเป็นเช่นนี้ แต่ก็มีวัยรุ่นบางส่วนที่มั่นใจในศักยภาพพรสวรรค์ของตัวเองอย่างเต็มเปี่ยมอยากทดลองดูแล้ว หากสามารถกลายเป็นหนึ่งในสามที่เป็นผู้โดดเด่นในคนสองแสนกว่าคน ยิ่งกว่านั้นคืออาจเป็นเพียงหนึ่งเดียวด้วยซ้ำ เช่นนั้นอนาคตจะมีเกียรติภูมิที่สูงส่งมากเพียงใดกันนะ?

มีเพียงหลัวซิวเท่านั้นที่ไม่ได้รู้สึกอะไรต่อสิ่งนี้ จากพลังอำนาจและภูมิฐานที่แข็งแกร่งปานตระกูลเทียนฮวง ถ้าเกิดพวกเขาจะรับอัจฉริยะเข้าไปบ่มเพาะ เช่นนั้นก็ต้องเป็นอัจฉริยะชั้นยอดที่ไร้ที่ติในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดอย่างแน่นอน ต้องเป็นอัจฉริยะคนหนึ่งที่มีโอกาสบรรลุเป็นผู้แข็งแกร่งราชาเทพระดับเก้าในอนาคต ถึงจะถูกพวกเขาดึงตัวไปบ่มเพาะ

โดยส่วนใหญ่ อัจฉริยะเช่นนี้ก็แค่มีโอกาสบรรลุเป็นราชาเทพระดับเก้าเท่านั้น สุดท้ายผู้ที่สามารถบรรลุถึงแดนระดับนั้นก็มีน้อยมากถึงมากที่สุดเลย ในขั้นตอนการบ่มเพาะ หากไม่แสดงศักยภาพที่น่าทึ่งออกมาอีก ก็จะสูญเสียมูลค่าในการบ่มเพาะ ซึ่งสามารถถูกทอดทิ้งได้ตลอดเวลา

กองกำลังใหญ่ขั้นสุดยอดย่อมต้องบ่มเพาะผู้แข็งแกร่งขั้นสุดยอดออกมาอยู่แล้ว มิเช่นนั้นก็ไม่มีมูลค่าใด ๆ ที่ต้องบ่มเพาะแล้ว!

โดยส่วนใหญ่แล้ว การแข่งขันคัดเลือกอัจฉริยะจะแบ่งออกเป็นสามขั้นตอน ขั้นตอนแรกก็คือการแข่งขันรอบแรก ต่อมาคือการคัดเลือกซ้ำ จนถึงขั้นตอนที่ผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสี่ตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้าย

ขอแค่ผ่านการแข่งขันรอบแรก ก็มีโอกาสและคุณสมบัติที่ได้รับความสนใจจากผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสี่ ทว่าสุดท้ายแล้วจะสามารถกลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของตระกูลเทียนฮวงได้หรือไม่นั้น ก็ต้องดูการตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้ายของผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสี่อยู่ดี

ก่อนผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสี่จะตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้าย ในรอบคัดเลือกซ้ำจะมีอัจฉริยะถูกจัดอันดับออกมา 20 อันดับ ซึ่งทุกคนจะได้รับโอกาสในการเข้าไปในแดนเทียนฮวงหนึ่งครั้ง

คอยหลังจากออกมาจากแดนเทียนฮวงแล้ว ก็จะเป็นช่วงเวลาที่ผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสี่ตัดสินใจ แน่นอนอยู่แล้วว่าหากเจ้าไม่อยากเข้าร่วมตระกูลเทียนฮวง ผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสี่ก็จะไม่บังคับเช่นกัน

และจุดประสงค์ที่หลัวซิวมาที่นี่ก็เพื่อจะเข้าไปในแดนเทียนฮวง ด้านหนึ่งเป็นเพราะแดนเทียนฮวงแยกมาจากดินแดนเก่าแห่งยุคไท่ชูอย่างแดนบรรพกาล และอีกด้านหนึ่งก็เป็นเพราะโชคโอกาสที่ลิ่งฮู๋จื่อเซวียนกล่าวถึง

แม้ตระกูลเทียนฮวงจะมีสิทธิ์ควบคุมดินแดนเก่าแห่งยุคไท่ชูผืนนี้ตลอดมา แต่ความลับส่วนมากบนดินแดนเก่าไท่ชูก็ยังคงเป็นความลึกลับต่อพวกเขา อ้างอิงจากคำพูดของลิ่งฮู๋จื่อเซวียน เมื่อปีนั้นดินแดนเก่าผืนนี้ที่มหาเทพเสินหวงเอาออกมาจากแดนบรรพกาลค่อนข้างพิเศษ หากเป็นผู้ที่มีผลการฝึกตนสูงกว่าเทพมารระดับเก้าจะเข้าไปไม่ได้

สามารถพูดได้เลยว่าทั้งหมดนี้เป็นเงื่อนไขเอื้อผลประโยชน์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อหลัวซิวโดยเฉพาะ ขอแค่เข้าไปในแดนเทียนฮวง ก็จะไม่มีภัยคุกคามจากผู้แข็งแกร่งเทพมารระดับเก้า เช่นนั้นเขาก็ยิ่งมีโอกาสควบคุมสถานการณ์ทุกด้านได้มากขึ้น

แน่นอนอยู่แล้วว่าบนดินแดนเก่าไท่ชูก็มีความอันตรายอื่น ๆ ที่เขาไม่ทราบเช่นกัน บางทีมันอาจจะมีสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าเทพมารระดับเก้าคงอยู่ก็เป็นได้

เพื่อที่จะสามารถสำรวจศักยภาพและพรสวรรค์ของอัจฉริยะทุกคนได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ตลอดขั้นตอนการแข่งขันคัดเลือกก็ไม่ได้จบลงภายในระยะเวลาสั้น ๆ เช่นกัน โดยเฉพาะการคัดเลือกซ้ำในขั้นตอนที่สอง ทุกคนจะถูกส่งไปยังสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน แล้วทำการตัดสินระดับความเร็วในการฝึกตนของอัจฉริยะ รวมไปถึงระดับความสูงต่ำของพรสวรรค์ โดยดูจากศักยภาพที่เพิ่มขึ้นในสถานการณ์ที่ทุกคนมีระยะเวลาเท่ากัน ตลอดจนคาดคะเนโอกาสที่สามารถเจริญเติบโตในอนาคต

“พอละ ข้าก็จักไม่พูดให้มากความแล้ว ขอแค่เจ้ามีพรสวรรค์ มีศักยภาพ ตระกูลเทียนฮวงของข้าจักเปิดประตูต้อนรับเจ้าเสมอ แม้นพรสวรรค์วิถียุทธ์ไม่สูงก็ไม่เป็นไร หากมีพรสวรรค์ด้านการกลั่นยา ค่ายกลและด้านภัณฑ์กลั่น ก็เป็นบุคคลอัจฉริยะที่ตระกูลเทียนฮวงของเราต้องการเช่นกัน!”

เสียงของราชาฟ้าเฉินหยางดังก้องอยู่ข้างหูทุกคน “ถัดจากนี้ก็คือการแข่งขันรอบแรกแล้ว ส่วนกฎของการแข่งขันรอบแรก ให้ผู้อาวุโสเสว่น่าเป็นผู้อธิบายให้พวกเจ้าฟัง”

หลังจากสิ้นเสียงราชาฟ้าเฉินหยาง ราชาเทพเสว่น่าก็ย่ำเมฆมงคลแล้วเดินออกมาอย่างสง่างาม

“การฝึกยุทธ์นั้น ต้องให้ความสำคัญกับตัวธรรมเป็นลำดับแรก รองลงมาถึงจะเป็นพรสวรรค์ แล้วตามด้วยความสามารถ หลังจากผ่านการประเมินทั้งสามด่านนี้แล้ว ก็จะเป็นการประเมินการต่อสู้จริง ส่วนสิ่งที่ประเมินในด่านสุดท้ายคือความสามารถในการตระหนักรู้ของพวกเจ้า!”

เมื่อได้ยินคำพูดของราชาเทพเสว่น่า แม้แต่ตัวหลัวซิวเองก็แอบพยักหน้าเบา ๆ สามารถพูดได้เลยว่าวิธีการคัดเลือกประเภทนี้รอบด้านมากแล้ว ซึ่งได้คำนึงถึงด้านต่าง ๆ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ