มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2711

การปรากฏตัวของถังกู่สง เป็นเพียงบทแทรกที่น้อยนิดมากจนไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึง ผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสี่แห่งตระกูลเทียนฮวงก็ไม่ได้นำมาใส่ใจเช่นกัน 

“เริ่มการคัดเลือกรอบแรก!”

จากการที่เสียงของราชาเทพนิศากรดังเข้าไปในหูของทุกคนที่อยู่ในสนาม แท่นบูชาที่สว่างไสวละลานตาก็ปรากฏบนพื้นที่ว่างที่อยู่ด้านล่างผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสี่

พื้นที่ว่างดังกล่าวกว้างใหญ่มาก ๆ ปริมาตรของแท่นบูชาก็มีรัศมีเป็นพันเมตร ซึ่งเพียงพอที่จะสามารถส่งคนนับหมื่นไปยังแดนเทพโบราณพร้อมกันได้ 

แดนเทพโบราณแตกต่างจากแดนเทียนฮวง เล่ากันว่าเป็นสถานที่ที่ตระกูลเทียนฮวงใช้ฝึกฝนศิษย์วัยรุ่นโดยเฉพาะ เมื่อนำมันมาเป็นสนามในการคัดเลือกอัจฉริยะรอบแรก จึงสามารถพูดได้เลยว่าเหมาะสมไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว

มีผู้อาวุโสใหญ่ทั้งสี่คอยควบคุมบัญชาการด้วยตนเองอยู่ที่นี่ ทุกคนจึงปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ทยอยขึ้นไปบนแท่นบูชา

หลังจากที่ถูกส่งไปยังแดนเทพโบราณแล้ว หลัวซิวก็เงยหน้าขึ้นมามอง พบว่าบริเวณรอบ ๆ คือเมฆหมอกที่ไร้ขอบเขต ส่วนด้านหน้าคือมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาล ด้านบนของมหาสมุทรมีสะพานไม้ต้นเดียวที่คับแคบพาดอยู่หนึ่งสะพาน

“สิ่งที่ประเมินในด่านแรกของการคัดเลือกรอบแรกคือตัวธรรมของพวกเจ้าทุกคน สิ่งที่พวกเจ้าเห็นตรงหน้าคือสมุทรทุกขัง ส่วนสะพานที่อยู่บนสมุทรทุกขังนั้น มีนามว่าสะพานวัฏสงสาร ผลการประเมินในด่านนี้ของพวกเจ้าจะตัดสินโดยระยะทางที่พวกเจ้าสามารถเดินอยู่บนสะพานวัฏสงสารแห่งสมุทรทุกขัง!”

ยืนอยู่ตรงชายฝั่งของสมุทรทุกขัง มีน้ำเสียงที่เรียบนิ่งของราชาเทพนิศากรดังก้องอยู่กลางท้องฟ้าที่ว่างเปล่า หลัวซิวพบว่ารอบกายตนเองไม่มีผู้อื่น ด้วยเหตุนี้จึงแสดงให้เห็นเลยว่า หลังจากที่ทุกคนถูกส่งเข้ามาในแดนเทพโบราณแล้ว ล้วนเข้ารับการประเมินตัวคนเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วทุกคนจึงสามารถพึ่งพาได้เพียงตัวเองเท่านั้น

มีอัจฉริยะสองแสนกว่าคน เท่ากับว่าทุกคนล้วนอยู่ในพื้นที่ที่เป็นของตัวเอง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตระกูลเทียนฮวงทุ่มทุนไปไม่น้อยจริง ๆ

สาเหตุที่นำตัวธรรมจัดวางไว้ในด่านแรกของการประเมินนั้น หลัวซิวย่อมทราบอยู่แล้วว่าเป็นเพราะอะไร เนื่องจากสำหรับผู้แข็งแกร่งแห่งโลกยุทธ์ทุกคนแล้ว ตัวธรรมเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด มิเช่นนั้นต่อให้มีสติปัญญาที่ล้ำเลิศมากเพียงใด ทันทีที่ตัวธรรมไม่ได้มาตรฐาน จึงถูกลิขิตไว้แล้วไม่มีทางเดินบนเส้นทางของผู้แข็งแกร่งได้ยาวนาน

จากการปฏิบัติตัวของทั้งสองภพชาติ หลัวซิวมีการตระหนักรู้และความเข้าใจในแดนยุทธ์ที่เป็นของตนเอง เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าโดยเฉพาะหลังจากผลการฝึกตนบรรลุถึงเทพมารแล้ว จอมยุทธ์ก็ถือว่าหลุดพ้นจากร่างเนื้อแห่งมนุษย์ทั่วไปแล้ว ตั้งแต่เทพมารเป็นต้นไป หากอยากฝึกตนขึ้นไปถึงแดนที่สูงกว่าละก็ ตัวธรรมก็จะดูสำคัญขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

ในโลกหล้านี้ หากพูดถึงตัวธรรมแล้ว หลัวซิวมั่นใจว่าตนไม่ด้อยกว่าผู้อื่นแน่นอน เพราะฉะนั้นเขาจึงก้าวขึ้นไปบนสะพานวัฏสงสารที่อยู่เหนือสมุทรทุกขังอย่างไม่ลังเลใจเลยแม้แต่น้อย

วัฏสงสารคืออะไร? วัฏสงสารก็คือการเวียนว่ายตายเกิดและห้วงเวลาที่เชื่อมต่อกัน การเกิดแก่เจ็บตายก็คือวัฏสงสาร วัฏสงสารห้วงเวลาก็เป็นวัฏสงสารเช่นกัน

มีเพียงการเวียนว่ายตายเกิดแต่ไม่มีห้วงเวลา มันก็จะไม่ใช่วัฏสงสารที่สมบูรณ์แบบ หากมีเพียงห้วงเวลาแต่ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด ก็ไม่สามารถประกอบเป็นวัฏสงสารได้เช่นกัน 

หลัวซิวกล้าพูดเลยว่าในโลกหล้านี้ ไม่มีผู้ใดเข้าใจวัฏสงสารดีไปมากกว่าเขาแล้ว ทว่าวิถียุทธ์ช่วงแรกที่เขาฝึกในภพชาตินี้คือเส้นทางแห่งวัฏสงสาร เขาจึงมีการตระหนักรู้และเข้าใจในวัฏสงสารในแบบของตัวเองเช่นกัน 

เมื่อเท้าย่ำลงบนสะพานวัฏสงสาร ภาพฉากที่อยู่รอบตัวหลัวซิวก็เปลี่ยนไปภายในพริบตา สามารถพูดได้เลยว่าก้าวหนึ่งก้าว เปลี่ยนแปลงหนึ่งครั้ง 

สายตาของเขาเริ่มเลือนราง ถัดจากนั้นเมื่อสายตาที่เลือนรางกลับมาชัดเจนอีกครั้ง เขาพบว่าตัวเองอยู่บนถนนของคูเมืองแห่งหนึ่งที่มีผู้คนขวักไขว่ 

“หลัวซิว!”

ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงดังมาจากด้านหลัง หลัวซิวหันหน้ากลับไปมอง ก่อนจะพบว่ามีสตรีนางหนึ่งกำลังวิ่งมาทางตัวเองอย่างลุกลน

“ลู่เมิ่งเหยา?”

มีรัศมีแห่งความแปลกใจปรากฏบนใบหน้าหลัวซิว และสตรีที่กำลังวิ่งมาทางเขาก็คือลู่เมิ่งเหยานั่นเอง บนใบหน้านางดูหวาดผวา เสื้อผ้าที่อยู่บนตัวก็เสียหายเล็กน้อยด้วย

ในขณะเดียวกัน หลัวซิวพบว่าตัวเองสัมผัสผลการฝึกตนของตนไม่ได้แล้ว ราวกับว่าเขา ณ วินาทีนี้ไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งแดนเทพมารระดับหกอีกต่อไป แต่เป็นมดตัวจ้อยที่ยังคงอยู่ในแดนกลั่นร่าง!

“ฮ่าฮ่า นังกะหรี่! เมื่อไม่มีการคุ้มครองจากพ่อมึง ท่านชายอย่างกูอยากรู้เหมือนกันว่ามึงจะหนีไปจากเงื้อมมือกูได้อย่างไร!”

มีเสียงหัวเราะที่เยือกเย็นสะท้อนมา ถัดจากนั้นหลัวซิวก็มองเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ในชุดแพรพาลูกน้องสามสี่คนไล่ตามมา 

และหลัวซิวก็จำชายหนุ่มที่เป็นผู้นำได้แล้วเช่นกัน ไม่นึกเลยว่าจะเป็นโกวจินชวน!

ครั้นเมื่ออยู่ในสำนักเซียวเหยา ท่านพ่อของลู่เมิ่งเหยาเสียชีวิตเพราะการแก่งแย่งตำแหน่งเจ้าสำนัก ต่อมาโกวจินชวนก็พาคนของตัวเองจะย่ำยีนาง แล้วถูกหลัวซิวลงมือหยุดยั้งไว้ อีกทั้งใช้วิชาดาบเร็วสังหารโกวจินชวนรวมไปถึงลูกน้องของเขาจนตายหมด 

“นี่คือวัฏสงสารหรือ?”

ถึงแม้ทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้จะสมจริงมากเพียงใด ทว่าจิตใจของหลัวซิวกลับสุขุมเรียบนิ่งมาโดยตลอด 

เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ อันที่จริงเขาก็รู้แล้วว่าจะทลายมันอย่างไร ขอแค่เขาสามารถทำใจให้หนักแน่น มองทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นรอบกายให้เป็นภาพลวงตา เช่นนั้นทุกอย่างก็จะทลายลงไปเองโดยที่เขาไม่ต้องทำอะไร 

“อ๊ายย! ……”

ลู่เมิ่งเหยายังวิ่งไม่ถึงด้านหน้าหลัวซิว​ ก็ถูกคนกลุ่มนั้นสกัดกั้นเอาไว้ บนใบหน้าของคนเหล่านั้นล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอันหื่นกาม แล้วพูดคำพูดที่ถ่อยอย่างยิ่งออกมา 

“กดร่างนางเอาไว้!”

เหล่าจอมยุทธ์เข้ามาจับกุมตัวลู่เมิ่งเหยา จากนั้นก็ปัดกวาดข้าวของทุกอย่างบนแผงขายของข้าง ๆ ทิ้ง ก่อนจะกดร่างลู่เมิ่งเหยาลงไปบนแผงขายของ 

“โอ้โห นั่นมันเจ้าหนูที่นังชั้นต่ำนี่เคยชอบมิใช่หรือ? ไยมึงจึงไม่เป็นวีรบุรุษช่วยโฉมงามแล้วล่ะ?”

และในเวลานี้เอง โกวจินชวนก็มองเห็นหลัวซิวที่อยู่ในกลุ่มคน แล้วแสยะยิ้มอย่างดูหมิ่น 

หลัวซิวก็ยังคงเรียบนิ่งสุขุมอยู่เช่นเคย เนื่องจากเขารู้แล้วว่าสิ่งที่ทดสอบในด่านนี้ก็คือตัวธรรมจักหนักแน่นดังก้อนหินก้อนใหญ่หรือไม่ หากเขาลงมือช่วย เช่นนั้นบททดสอบในด่านนี้ก็มีโอกาสล้มเหลวสูงมาก

“หลัวซิว​ ช่วยข้าด้วย!”ลู่เมิ่งเหยาตะโกนร้องจนเสียงแหบ ทว่าจากพละกำลังของนาง กลับดิ้นรนออกมาจากการถูกควบคุมตัวไม่ได้เลยด้วยซ้ำ 

“ฮ่าฮ่า ไอ้แซ่หลัว มึงจะไม่ช่วยมันจริง ๆ หรือ?”โกวจินชวนหัวเราะได้บ้าคลั่งมากยิ่งขึ้น “ในเมื่อมึงไม่ช่วยมัน เช่นนั้นท่านชายอย่างกูก็จะเอามันต่อหน้ามึงแล้วนะ!”

เหล่าจอมยุทธ์ทำการกดร่างลู่เมิ่งเหยาเอาไว้แน่น ๆ และโกวจินชวนก็เดินไปด้านหลังนาง ก่อนจะเริ่มถอดกางเกงโดยตรง

ณ เสี้ยววินาทีนั้น มีรัศมีแห่งความเยือกเย็นหนึ่งกระพริบขึ้นมาในสายตาหลัวซิว

ลู่เมิ่งเหยาเป็นสตรีนางแรกที่หลัวซิวในภพชาตินี้ชอบ ถึงแม้ระหว่างทั้งสองจะไม่มีบุพเพสันนิวาสต่อกันก็ตาม แต่ใจหลัวซิวกลับไม่มีทางมองดูนางถูกผู้อื่นเหยียดหยามย่ำยีโดยไม่ทำอะไร 

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ