มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2712

นอกแดนเทพโบราณ ผู้อาวุโสราชาเทพทั้งสี่แห่งตระกูลเทียนฮวงกำลังชุมนุมกัน 

“สมุทรทุกขังสะพานวัฏสงสารในด่านแรกไม่ธรรมดาเลยนะ……”

ราชาเทพนิศากรใช้มือลูบหนวดที่ขาวหงอกพลางอมยิ้ม “อัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศสองแสนกว่าคน นี่เพิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่เอง? ก็มีคนนับหมื่นตกรอบไปแล้ว”

ทันทีที่ไม่ผ่านบททดสอบบนสะพานวัฏสงสาร ก็จะถูกส่งออกมาจากแดนเทพโบราณอัตโนมัติ ขณะที่ราชาเทพนิศากรกำลังพูดอยู่นั้น ก็มีคนถูกส่งออกมาเช่นกัน 

“พรสวรรค์ปัญญาเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด แต่ตัวธรรมกลับไม่เหมือนกัน สมุทรทุกขังสะพานวัฏสงสารเป็นสิ่งที่บรรพบุรุษผู้สูงส่งตกทอดมา การที่จะผ่านด่านนี้ได้นั้น จึงไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว”ราชาเทพเสว่น่าที่อยู่ข้าง ๆ หัวเราะเบา ๆ แล้วพูด

อย่างที่ทุกคนทราบกัน แดนเทพโบราณคือสถานที่ที่ตระกูลเทียนฮวงนำมาประเมินผลเด็กรุ่นใหม่โดยเฉพาะ แต่กลับมีน้อยคนมากที่ทราบว่าช่วงที่แดนเทพโบราณปรากฏแรก ๆ เป็นยุคสมัยที่มหาเทพเสินหวงเป็นเจ้าถิ่นที่มีอิทธิพลในโลกร้าง

การที่สามารถกลายเป็นผู้สูงส่งไร้เทียมทานในโลกาใบหนึ่งนั้น สามารถพูดได้เลยว่าตั้งแต่โบราณกาลมา ไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเคียงการตระหนักรู้บนวิถียุทธ์กับมหาเทพเสินหวงได้ ขณะที่เขาริเริ่มก่อสร้างแดนเทพโบราณ ก็ได้นำตัวธรรมวางไว้ในตำแหน่งแรก และยิ่งปลดปล่อยมหาอิทธิฤทธิ์ด้วยตนเอง วิวัฒนาการสมุทรทุกขังและสะพานวัฏสงสารขึ้นมา 

ทันทีที่จอมยุทธ์ทุกคนก้าวขึ้นสู่สะพานวัฏสงสาร ก็ต้องเผชิญหน้ากับการทดสอบของภาพมายาต่าง ๆ ซึ่งภายในมีความลี้ลับที่ล้ำลึกที่สุดแฝงซ่อนอยู่ด้วย ใช่ว่าเมื่อมีตัวธรรมที่หนักแน่นก็จะสามารถผ่านไปได้อย่างง่ายดายเสมอไป

เมื่อตัวธรรมหนักแน่น ก็จะไม่ได้รับผลกระทบจากภาพมายา จนสามารถผ่านบททดสอบในด่านแรกได้ แต่ในตระกูลเทียนฮวงกลับมีคำเล่าลือหนึ่งสืบทอดมาโดยตลอด นั่นก็คือหากสามารถฝ่าฟันผ่านสะพานวัฏสงสารได้อย่างราบรื่น บรรพบุรุษผู้สูงส่งก็จะประทานพรให้!

ซึ่งคำเล่าลือที่สืบทอดในตระกูลเทียนฮวงนี้ย่อมไม่ใช่ข่าวลือที่ไม่มีมูลอะไรอยู่แล้ว เนื่องจากมหาเทพเสินหวงเป็นผู้ถ่ายทอดคำพูดดังกล่าวด้วยตนเอง แต่ทว่ามหาเทพเสินหวงนั่งฌานละสังขารไปยาวนานมาก ๆ แล้ว แต่กลับไม่เคยมีผู้ใดข้ามผ่านสะพานวัฏสงสารได้อย่างราบรื่นมาก่อน แล้วได้รับพรอันเพ้อฝันจากบรรพบุรุษ 

“วัยรุ่นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศทุกยุคสมัยในตระกูลเทียนฮวงของเราล้วนเคยพยายามดูแล้ว ทุก ๆ ร้อยปีจะมีอัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศจากดินแดนทั้งหลายรวมตัวกันอีกครั้ง แล้วมาฝ่าฟันในแดนเทพโบราณ บางทีการฝ่าฟันผ่านสะพานวัฏสงสารได้อย่างราบรื่นนั้น อาจเป็นเพียงเรื่องเล่าหนึ่ง”ราชาฟ้าเฉินหยางกล่าวเช่นนี้ 

“แดนของบรรพบุรุษผู้สูงส่งไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถคาดคะเนได้……”ผู้อาวุโสราชาเทพทั้งสี่ต่างรู้สึกทอดถอนใจพร้อมกันอย่างอดไม่ได้ 

…… 

ภายในแดนเทพโบราณ หลัวซิวเดินผ่านสมุทรทุกขังสะพานวัฏสงสารสำเร็จแล้ว แต่จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าพื้นที่บริเวณรอบ ๆ หมุนและเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นตัวเองก็อยู่บนพื้นที่นิรนามแห่งหนึ่ง

ทว่าเขากลับไม่มีความรู้สึกพิเศษต่อเหตุการณ์นี้ คิดว่าอาจเป็นเพราะเขาผ่านด่านแรกไปแล้ว เพราะฉะนั้นจึงต้องเผชิญหน้ากับด่านต่อไป

แต่ในเวลานี้เอง จู่ ๆ ก็มีเมฆหมอกขมุกขมัวก้องหนึ่งลอยมาจากด้านหน้า ถัดจากนั้นก็มีเงาลวงร่างหนึ่งเดินออกมาจากเมฆหมอก

นี่คือชายที่หน้าตาไม่โดดเด่นอะไร หน้าตาธรรมดาทั่วไปมาก ซึ่งถือเป็นคนประเภทที่เมื่อเดินอยู่บนถนนใหญ่ ก็จะไม่มีผู้ใดใส่ใจเลย

ทว่าบนตัวเขากลับมีออร่าประเภทหนึ่งที่พิเศษมาก ราวกับทุกสรรพสิ่งล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา กระแสสัมผัสของเขาครอบคลุมทั้งดาราจักรวาล เดือนตะวันดาราทั้งปวงล้วนอยู่ในกำมือเขา!

ชาติก่อนและชาติปัจจุบัน จากความทรงจำของทั้งภพชาติ สามารถพูดได้เลยว่าหลัวซิวได้พบเห็นรู้จักกับผู้คนมามากมายจนนับไม่ถ้วนแล้ว แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่เขาสัมผัสพลังออร่าที่มากมายมหาศาลเช่นนี้ได้จากตัวคนคนหนึ่ง 

และสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจมากกว่านั้นคือ สิ่งที่เขามองเห็นนั้นเป็นเพียงเงาลวงร่างหนึ่งเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่ร่างแท้แต่อย่างใด!

“ข้าหยุนฮวง ขอคารวะผู้เพื่อนยุทธ์”

เงาลวงชายที่ปรากฏตรงหน้าหลัวซิวประสานมือทำท่าคารวะ เขาอยู่ในชุดคลุมยาวสีเหลือง เมื่อเก็บพลังออร่าที่มากมายมหาศาลในเมื่อครู่กลับเข้าร่าง เขาก็เหมือนชาวบ้านธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งเลย 

“ผู้เพื่อนยุทธ์หยุนฮวงเกรงใจเกินไปแล้ว ข้าน้อยหลัวซิว”

หลัวซิวก็ประสานมือทำท่าคารวะตอบเช่นกัน เขาไม่เข้าใจว่าคนดังกล่าวคือผู้ใดกันแน่ ทุกคนที่เข้ารับการประเมินในแดนเทพโบราณล้วนถูกแยกให้อยู่ตัวคนเดียวมิใช่หรือ?

“ที่แท้ก็เป็นผู้เพื่อนยุทธ์หลัวนี่เอง ไม่ทราบว่าภพชาติก่อนผู้เพื่อนยุทธ์คือผู้ใดหรือ?”

ในขณะที่หลัวซิวกำลังคาดคะเนตัวตนของฝ่ายตรงข้ามอยู่นั้น ชายผู้มีนามว่าหยุนฮวงกลับพ่นคำถามที่น่าตะลึงออกมากะทันหัน!

เมื่อได้ยินคำถามดังกล่าว แววตาของหลัวซิวก็ดูรวดเร็วและดุดันขึ้นมาทันที ในโลกหล้านี้ ผู้ที่ทราบว่าเขาเป็นร่างผันแห่งวัฏสงสารนั้นมีไม่มาก แต่คนดังกล่าวมั่นใจเช่นนี้ ตกลงเขาทราบได้อย่างไร?

“ผู้เพื่อนยุทธ์ไม่จำเป็นต้องระมัดระวังเช่นนี้ สาเหตุที่ข้าทราบนั้น เป็นเพราะภาพมายาที่เกิดจากจิตใจขณะเจ้าเดินอยู่บนสะพานวัฏสงสาร ซึ่งได้สาดส่องไปถึงเจตนาเดิมโดยตรง แม้นผู้เพื่อนยุทธ์จักอำพรางได้ดีมาก ทว่าท้ายที่สุดแล้วข้าก็เป็นผู้สร้างสมุทรทุกขังสะพานวัฏสงสารอยู่ดี ดังนั้นข้าจึงมองเห็นความลี้ลับทั้งปวง”

หยุนฮวงหัวเราะ เขาไม่ได้แสดงเจตนาร้ายออกมาเลยแม้แต่น้อย และคำพูดที่เขาพูดนั้นก็ฟังดูลึกซึ้งมากจนไม่อาจคาดเดาได้ด้วย

หลัวซิวต้องทราบเป็นธรรมดาอยู่แล้วว่า ในเมื่อสมุทรทุกขังสะพานวัฏสงสารเป็นสิ่งที่ทดสอบตัวธรรม จึงต้องสาดส่องไปถึงเจตนาเดิมอยู่แล้ว ต่อมาค่อยอ้างอิงจากความคิดหรือความลุ่มหลงที่เกิดจากเจตนาเดิมของตัวจอมยุทธ์ จนเกิดเป็นภาพมายาแดนมิติต่าง ๆ นานาอย่างไร้ขอบเขต

อย่างไรก็ตาม ตลอดการเดินอยู่บนสะพานวัฏสงสารของหลัวซิว แดนมิติที่ปรากฏล้วนเป็นสิ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับเขาในภพชาติปัจจุบัน และสาเหตุที่ไม่มีสิ่งใดที่มีความเกี่ยวข้องกับภพชาติก่อนถูกสาดส่องออกมานั้น เป็นเพราะหลัวซิวจงใจยับยั้งเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว 

หากพูดถึงเรื่องตัวธรรมแล้ว เขามีตัวธรรมของผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่ง บวกกับความทรงจำและประสบการณ์ของสองภพชาติ บางทีตัวธรรมของเขา ณ วินาทีนี้อาจจะอยู่เหนือไท่ซ่างฉิงเมื่อภพชาติก่อนเสียอีก 

ถ้าเกิดเขาไม่อยากให้มีความคิดเกิดขึ้นในเจตนาดั้งเดิม มาตรแม้นว่าตัวต้องห้ามในสมุทรทุกขังสะพานวัฏสงสารจักล้ำลึกมากเพียงใด ก็อย่าคิดว่าจะสามารถสาดส่องออกมาได้แม้แต่เสี้ยวเดียว 

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ