มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2713

“เหลือเชื่อมากเกินไปแล้วจริง ๆ!”

ราชาเทพนิศากรพูดพึมพำคนเดียว “ดูท่าการคัดเลือกอัจฉริยะในครั้งนี้ มีอัจฉริยะที่ไม่ธรรมดาอุบัติขึ้นมาคนหนึ่ง เกรงว่าในวัยรุ่นยุคใหม่ของตระกูลเทียนฮวงเรา ก็คงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถข้ามผ่านสะพานวัฏสงสารไปได้เร็วเช่นนี้”

“อย่าเพิ่งดีใจเร็วไปหน่อยเลย ไม่แน่อาจเป็นอัจฉริยะที่มาจากกองกำลังอื่นก็เป็นได้ ถึงครานั้นใช่ว่าจะยินดีเข้าร่วมตระกูลเทียนฮวงของเราเสมอไป”

แต่ราชาฟ้าเฉินหยางกลับพูดด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่เย็นชา: “ตัวธรรมที่แข็งแกร่งสำคัญต่อจอมยุทธ์มากก็จริง แต่ใช่ว่าจะมีผลงานและความสามารถที่โดดเด่นในบททดสอบอื่น ๆ เสมอไป”

“สหายเฉินหยาง เจ้าพูดเช่นนี้มันไม่ถูกเลยนะ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องตัวตนว่ามาจากกองกำลังใด แค่การบำเพ็ญตัวธรรม มาตรแม้นว่าพรสวรรค์จะธรรมดาทั่วไป หากได้รับการบ่มเพาะ ยืนหยัดด้วยความอดทน อนาคตก็ต้องกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่ไม่อ่อนกว่าเจ้าและข้าแน่นอน”ราชาเทพนิศากรไม่เห็นด้วยกับคำพูดของราชาฟ้าเฉินหยางแต่อย่างใด 

“ในเมื่อพรสวรรค์แย่ ต่อให้ตัวธรรมแข็งแกร่งแล้วจะมีประโยชน์อะไร? ถึงแม้อนาคตจะสามารถฝึกตนขึ้นมาถึงแดนอย่างเจ้าและข้าได้ หรือว่าเขาต้องใช้เวลาตบะเป็นสิบล้านปี ตลอดจนร้อยล้านปี?”

ราชาฟ้าเฉินหยางเบ้ปากแล้วทำเสียงหึอย่างเยือกเย็น “กาลเวลาสิบล้านปีตลอดจนร้อยล้านปีนั้น เพียงพอที่จะสามารถทำให้เกิดเรื่องราวหลายอย่างแล้ว ตระกูลเทียนฮวงของเราไม่มีความอดทนที่จะรอให้เขาเติบโตขึ้นมาหรอกนะ”

“ใช่ว่าพรสวรรค์ของเจ้าหนุ่มคนนั้นจะแย่เสมอไป”

“ผลการฝึกตนเทพมารระดับหกเล็ก ๆ ที่อยู่ในหมู่อัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศสองแสนกว่าคน มันเล็กน้อยมากจนไม่มีค่าพอที่จะให้พูดถึงเลยด้วยซ้ำ!”ราชาฟ้าเฉินหยางยังคงยืนยันในความเห็นของตัวเองอยู่เช่นเคย 

ซึ่งผู้ที่พวกเขากล่าวถึงนั้นย่อมต้องเป็นหลัวซิวอยู่แล้ว กระทั่งวินาทีนี้เขาก็เป็นคนแรกที่ข้ามผ่านสะพานวัฏสงสารได้สำเร็จเช่นกัน

ราชาเทพเสว่น่าและมหาเทวะวัชรยักษ์ต่างไม่พูดอะไรเลย อันที่จริงพวกเขาทั้งสี่คนล้วนสังเกตเห็นแล้วว่าชายหนุ่มคนนั้นก็คือผู้ที่ถังกู่สงอยากจับกุมตัวไปนั่นเอง ผู้น้อยที่มีผลการฝึกตนเพียงเทพมารระดับหกเล็ก ๆ คนหนึ่ง ถึงกับกล้าไปรุกรานเทพมารระดับเก้าคนหนึ่ง ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาช่างเป็นคนที่กล้าหาญมากจริง ๆ 

……

หยุนฮวงสลายหายไปแล้ว หลัวซิวไม่เคยคิดมาก่อนเลยด้วยซ้ำว่าตนจะได้รับโอกาสเช่นนี้ในแดนเทพโบราณ

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว มูลค่าของเคล็ดเซียนมหาศักดิ์สูงกว่าการที่เขาเดินทางไปแดนเทียนฮวงรอบหนึ่งเสียอีก 

เมื่อเรียนรู้ความล้ำลึกของเคล็ดเซียนนี้ด้วยแดนของหลัวซิว เขาปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหากพูดถึงผลการฝึกตนศักยภาพ มหาเทพเสินหวงที่ริเริ่มเคล็ดเซียนดังกล่าวแข็งแกร่งกว่าเขาที่เป็นไท่ซ่างฉิงเมื่อชาติปางก่อนเล็กน้อยจริง ๆ

อย่างไรเสียทันทีที่เขาเมื่อภพชาติก่อนบรรลุถึงผู้สูงส่งขั้นปฐมภูมิ ก็ตายไปพร้อมกับกงล้อวัฏจักรธรรมแล้ว ทว่ามหาเทพเสินหวงกลับเป็นผู้แข็งแกร่งที่ฝึกตนถึงแดนที่ไม่ต่ำกว่าผู้สูงส่งช่วงปลาย 

ในยุคสมัยที่สวรรค์จ้าววัฏสงสารยังไม่บังเกิด ผู้สูงส่งก็เป็นการคงอยู่ขั้นสูงสุดแล้ว ผู้ที่มีอำนาจอิทธิพลมากจะมีมิตรสหายรู้ใจน้อย เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนจุดสูงสุด เดินอยู่บนวิถีธรรมอันยิ่งใหญ่คนเดียว

หลัวซิวสามารถสัมผัสสภาพจิตใจที่รู้สึกถึงอารมณ์บางอย่างของมหาเทพเสินหวงได้อยู่ เขานำเคล็ดเซียนของตนเองซ่อนอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ ก็เพื่อหวังว่าจักมีคนหนึ่งที่เป็นคนรุ่นหลังของตระกูลเทียนฮวง แสดงตัวธรรมที่แตกต่างจากผู้อื่นบนสะพานวัฏสงสาร

แต่น่าเสียดายที่คนรุ่นหลังของตระกูลเทียนฮวงกลับไม่เข้าใจเจตนาแท้จริงที่มหาเทพเสินหวงทิ้งไว้บนสะพานวัฏสงสาร เมื่อเผชิญหน้ากับภาพมายาแดนมิติต่าง ๆ ล้วนคิดว่าขอแค่ตัวธรรมหนักแน่นแน่วแน่ แล้วฝ่าฟันไปด้านหน้าอย่างเด็ดเดี่ยวก็พอแล้ว 

แต่หารู้ไม่ว่าบททดสอบที่แท้จริงของที่นี่ คือจะให้ตัวจอมยุทธ์เข้าใจจิตใจที่แท้จริงของตน

หากมีแค่ใจที่หนักแน่นแน่วแน่ ไม่หวั่นไหวต่อทุกสรรพสิ่งก็คือความล้ำลึกของตัวธรรม เช่นนั้นตัวธรรมก็เป็นอะไรที่เรียบง่ายเกินไปแล้ว ตัวธรรมที่แท้จริงคือการเข้าใจจิตใจที่แท้จริงของตน กระจ่างแจ้งโดยสิ้นเชิง แต่ไม่ใช่เย็นชาไร้ความปราณี  

ไม่มีมนุษย์คนใดที่ไร้ความปราณีมาตั้งแต่กำเนิด การนิ่งดูดายต่อญาติมิตรพี่น้องที่ถูกสังหารเหยียดหยามย่ำยีในภาพมายาแดนมิติ ความไร้ปราณีประเภทนั้น ไม่ใช่เจตนาเดิม จึงย่อมไม่ใช่ตัวธรรมที่สมบูรณ์แบบอยู่แล้ว

และมีเพียงการแสวงหาเจตนาเดิม ไม่นึกเสียดายไม่โกรธแค้น ถึงจะเป็นความหมายที่แท้จริงของตัวธรรม

มาตรแม้นว่าเป็นไท่ซ่างฉิงเมื่อชาติปางก่อน ก็ไม่ได้ไร้ความปราณีเช่นกัน แค่นำอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดซ่อนไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ ฉะนั้นถึงแม้จะไม่ใช่ตัวธรรมที่สมบูรณ์แบบก็ตาม แต่ก็มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นตัวธรรมที่สมบูรณ์แบบแล้ว 

ส่วนภพชาตินี้ หลัวซิวกระจ่างแจ้งอยู่บนสะพานวัฏสงสารโดยสิ้นเชิง ตระหนักรู้ทุกอย่างได้ภายในพริบตา

นี่จึงทำให้เขารู้สึกเลื่อมใสในตัวมหาเทพเสินหวงอย่างยิ่ง ผู้แข็งแกร่งผู้สูงส่งที่เคยอุบัติขึ้นมาในอดีต ต้องมีไม่น้อยอย่างแน่นอน แต่มหาเทพเสินหวงกลับสามารถเป็นผู้โดดเด่นอยู่ในโลกร้าง ถูกเรียกขานว่าเป็นผู้สูงส่งอันดับหนึ่งแห่งโลกร้าง ไม่ว่าจะเป็นแดนผลการฝึกตนหรือการตระหนักรู้ในตัวธรรม ล้วนบรรลุถึงระดับขั้นที่คนธรรมดาทั่วไปเอื้อมไม่ถึง 

หลัวซิวไม่ทราบแต่อย่างใดว่าเพราะเขาเป็นคนแรกที่ข้ามผ่านสะพานวัฏสงสาร จึงส่งผลให้กลายเป็นเป้าสายตาของราชาเทพทั้งสี่ เขาไม่ได้นิ่งอยู่กับที่แต่อย่างใด แต่เป็นการมุ่งหน้าเดินไปยังส่วนลึกของแดนเทพโบราณต่อ

การประเมินในด่านที่สอง สิ่งที่ทดสอบคือพรสวรรค์ของจอมยุทธ์

พรสวรรค์ที่กล่าวถึงนั้นก็คือปัญญาในการฝึกยุทธ์ของคนคนหนึ่ง อสูรจิตทุกดวงที่กำเนิดมาล้วนมีปัญญาที่สูงต่ำแตกต่างกันออกไป

จากจุดเริ่มต้นที่เหมือนกัน บางคนสามารถประสบความสำเร็จในด้านการฝึกยุทธ์ภายในเวลาสิบปี ส่วนบางคนกลับต้องใช้เวลาเป็นร้อยปีหรือนานกว่านั้น ซึ่งนี่ก็คือความแตกต่างในด้านปัญญา 

ยกตัวอย่างเช่นฐานร่างที่พิเศษ ฐานร่างพิเศษจะมีความใกล้ชิดต่อกฎเกณฑ์ประเภทใดประเภทหนึ่งมาตั้งแต่กำเนิด ซึ่งนี่ล้วนเป็นปัญญาที่ค่อนข้างสูง 

หลัวซิวไม่ทราบว่าผลการประเมินในด่านแรกของตนเองเป็นอย่างไร ถึงแม้เขาจะได้รับโอกาสที่มหาเทพเสินหวงทิ้งไว้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผลการประเมินของเขาจะดีที่สุด เนื่องจากหากมีคนมองข้ามภาพมายาแดนมิติ ใช้อำนาจฝืนฝ่าฟันไป ความเร็วก็อาจจะเร็วกว่าเขาได้

การประเมินพรสวรรค์ไม่ได้ยากต่อหลัวซิวมากเท่าไหร่นัก สิ่งเดียวที่เขาต้องตรึกตรองคือต้องใช้วิธีการแบบใดมาผ่านด่านที่สองนี้

วิถีไร้ลักษณ์ของเขาสามารถวิวัฒนาการฐานร่างพิเศษต่าง ๆ ออกมาให้เขา ยกตัวอย่างเช่นร่างเทวเบญจธาตุ ​​ร่างเทวอลวน

เดินต่อไปไม่นานนัก หลัวซิวก็มาถึงหน้าหน้าผาที่สูงชันแห่งหนึ่ง ด้านหน้าไม่มีทางเดินอีกแล้ว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ