มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2715

“แค่ดูจากวิชาวิถีค่าย ชายดังกล่าวก็เป็นอัจฉริยะชั้นสุดยอดแล้ว เมื่อมองในหมู่เหล่าจอมยุทธ์ทั่วไป อย่างน้อยเขาก็เป็นอัจฉริยะระดับจักรพรรดิเทพ!”

ราชาเทพนิศากรใช้มือลูบหนวดเคราที่ขาวหงอก การคัดเลือกอัจฉริยะในครั้งนี้มีหัวกะทิที่คุ้มแก่การเฝ้าติดตามหนึ่งคน จึงทำให้อารมณ์เขาดีมากจริง ๆ

สำหรับผู้แข็งแกร่งที่ฝึกตนมายาวนานอย่างไม่รู้จบอย่างเขาแล้ว เคยพบเห็นอัจฉริยะระดับจักรพรรดิเทพ ตลอดจนระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์มาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ แต่ผู้ที่มีผลการฝึกตนเทพมารระดับหกแล้วฝีมือวิถีค่ายยังน่าทึ่งเช่นนี้ กลับมีเพียงชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น

ณ จุดที่สูงหกพันฟุตของเขาเซียนสีทอง หลัวซิวยังคงใช้พลังเกณฑ์ปริภูมิและเพลิงอัคคีทั้งสองประเภทควบคู่กับวิชาวิถีค่ายอยู่เช่นเคย โจมตีหุ่นเชิดเทพมารระดับเจ็ดช่วงกลางตัวหนึ่งจนแตกสลาย

เขาไม่ได้ปีนป่ายขึ้นไปยังจุดที่สูงกว่าแต่อย่างใด เนื่องจากบนศิลาตรงตีนเขาได้บอกไว้ชัดเจนมากแล้วว่า ขอแค่สามารถฝ่าฟันขึ้นไปถึงจุดที่สูงหกพันฟุต ก็ถือว่าผ่านด่านนี้แล้ว

อัจฉริยะจากแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดส่วนมากก็มาถึงระดับนี้เช่นกัน หากจะฝ่าฟันขึ้นไปบนจุดที่สูงเจ็ดพันฟุตละก็ คู่ต่อสู้หุ่นเชิดที่ประสบพบเจอนั้นมีโอกาสเป็นเทพมารระดับเจ็ดช่วงปลายแล้ว

หลัวซิวหยุดอยู่ ณ ตำแหน่งที่สูงหกพันฟุต หากยืนนิ่งอยู่บนเขาเซียนสีทองแล้วไม่เคลื่อนไหว หลังจากหยุดนิ่งอยู่กับที่จนถึงระยะเวลาที่กำหนดแล้ว ก็จะกระตุ้นค่ายวาร์ปของที่นี่ 

“ชัวะ!”

เมื่อห้วงเวลาที่อยู่ตรงหน้าเปลี่ยนแปลงไป หลัวซิวก็รู้แล้วว่าตัวเองถูกส่งไปยังส่วนที่ลึกกว่าของแดนเทพโบราณแล้ว 

หลังจากผ่านตัวธรรม พรสวรรค์ ศักยภาพทั้งสามด่าน ก็จะเป็นการต่อสู้จริง แม้นครั้นเมื่ออยู่ในด่านทดสอบศักยภาพจะมีการประมือกับหุ่นเชิด แต่สุดท้ายแล้วหุ่นเชิดก็ไม่ใช่จอมยุทธ์ที่แท้จริง

หลัวซิวพบว่าตัวเองยืนอยู่บนเวทีประลองยุทธ์แห่งหนึ่ง และมีเงาดำร่างปรากฏตรงตำแหน่งที่ห่างจากด้านหน้าเขาหลายร้อยฟุต เงาร่างดังกล่าวผนึกรวมกันเป็นแก่นแท้อย่างต่อเนื่อง แล้วกลายเป็นชายหนุ่มที่อยู่ในชุดคลุมยาวดำสีดำคนหนึ่ง  

“ด่านการสู้รบจริง คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้า!”

ชายหนุ่มค่อย ๆ เอ่ยปากพูด ถัดจากนั้นก็มีคลื่นออร่าผลการฝึกตนแผ่กระจายออกมาจากร่างกายเขา ซึ่งเป็นเหมือนกับหลัวซิวทุกประการเลย เป็นเทพมารระดับหกช่วงกลางเช่นกัน

คู่ต่อสู้ที่พบเจอในด่านที่สี่ของแดนเทพโบราณ ล้วนเป็นภาพที่ศิษย์แห่งตระกูลเทียนฮวงรุ่นก่อน ๆ ทิ้งไว้ ซึ่งสามารถปลดปล่อยพลานุภาพในทุก ๆ ด้านของพวกเขาทุกคนออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ!

มีเพียงโค่นล้มศิษย์แห่งตระกูลเทียนฮวงที่อยู่ในแดนเดียวกัน ถึงจะมีคุณสมบัติผ่านการคัดเลือกรอบแรก แล้วได้รับการยอมรับจากตระกูลเทียนฮวง

อย่างน้อยศิษย์แห่งตระกูลเทียนฮวงก็เป็นอัจฉริยะระดับมกุฎเทพ ถึงแม้ผลการฝึกตนจะเป็นเทพมารระดับหกช่วงกลาง ทว่าอย่างน้อยก็มีศักยภาพที่สามารถเทียบทัดเทพมารระดับเจ็ดทั่วไป 

แต่ทว่าสำหรับหลัวซิวแล้ว ด่านนี้ก็ยังคงไม่ค่อยยากมากเท่าไหร่นัก เมื่ออาศัยอุบายของวิถีค่าย เขาไม่จำเป็นต้องใช้ไพ่เด็ดท่าไม้ตายของตัวเองเลยแม้แต่น้อย ก็ผ่านด่านไปได้อย่างสบาย ๆ แล้ว

ทุกอย่างดำเนินการไปตามนี้ หลัวซิวก้าวเข้าสู่ส่วนที่ลึกที่สุดของแดนเทพโบราณ และสิ่งที่จะประเมินในด่านนี่ก็คือความสามารถในการตระหนักรู้!

มีห้องใต้หลังคาหนึ่งปรากฏด้านหน้า หลังจากที่หลัวซิวเดินเข้าไปในห้องใต้หลังคา ก็มองเห็นชั้นวางไม้หนึ่งแถว และด้านบนมีม้วนหยกวางอยู่ร้อยกว่าชิ้น 

ภายในม้วนหยกทุกชิ้น มีพลังอมตะ วรยุทธ์หรือเคล็ดวิชาบันทึกอยู่หนึ่งวิชา 

ระดับขั้นของพลังอมตะวรยุทธ์เคล็ดวิชาเหล่านี้ไม่สูงมากนัก ส่วนมากล้วนเป็นระดับเทพระดับเจ็ด มีเพียงม้วนหยกสิบกว่าชิ้นเท่านั้นที่มีพลังอมตะเคล็ดวิชาที่บรรลุถึงระดับเทพระดับแปดบันทึกอยู่

สำหรับแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดอย่างตระกูลเทียนฮวงแล้ว วรยุทธ์เคล็ดวิชาระดับแปดไม่ถือเป็นการถ่ายทอดสืบสานที่เป็นใจกลาง อีกทั้งอัจฉริยะทุกคนที่สามารถฝ่าฟันมาจนถึงด่านนี้ได้นั้น วรยุทธ์พลังอมตะที่คนเหล่านั้นฝึก ก็ต้องอยู่สูงกว่าระดับเทพระดับแปดอย่างแน่นอน

ส่วนการประเมินความสามารถในการตระหนักรู้ในด่านนี้นั้น ก็คือจะให้จอมยุทธ์อ้างอิงจากวรยุทธ์พลังอมตะเคล็ดวิชาที่บันทึกอยู่ในม้วนหยกร้อยกว่าชิ้นนี้ ริเริ่มวรยุทธ์ พลังอมตะหรือเคล็ดวิชาที่ใหม่เอี่ยมออกมา!

ท้ายที่สุดแล้วการฝึกวรยุทธ์พลังอมตะที่คนรุ่นก่อนทิ้งไว้นั้น จักไม่มีทางเดินไปถึงจุดสูงสุด มีเพียงริเริ่มวิถีและวิชาที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุดออกมา ถึงจะเป็นเส้นทางที่แท้จริงของผู้แข็งแกร่ง เพราะฉะนั้นความสามารถในการตระหนักรู้จึงสำคัญอย่างยิ่ง 

ในความทรงจำของหลัวซิวมีวรยุทธ์พลังอมตะซ่อนอยู่เยอะมากจนนับไม่ถ้วน ทว่าเขากลับไม่ได้ผ่านด่านนี้อย่างง่ายดาย แต่เป็นการเดินไปสำรวจวรยุทธ์เคล็ดวิชาทั้งหมดที่บันทึกอยู่ในม้วนหยก

ในขณะเดียวกัน วัยรุ่นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศสองแสนกว่าคนในตอนแรก ก็เหลือไม่ถึงสองพันคนแล้ว คนเหล่านี้ก็ต่างทยอยผ่านด่านในก่อนหน้านี้แล้วเช่นกัน เมื่อมาถึงด่านสุดท้าย ก็เหลือไม่ถึงหนึ่งพันคนแล้ว 

ศึกษาเรียนรู้ม้วนหยกทั้งร้อยกว่าชิ้นจนหมด ก่อนที่หลัวซิวจะนั่งท่าขัดสมาธิลงบนพื้นที่ที่โล่งเปล่าแห่งหนึ่ง วรยุทธ์พลังอมตะเคล็ดวิชาที่บันทึกอยู่ในม้วนหยกเหล่านี้ไม่ลึกซึ้งมากเท่าไหร่นัก ทว่าระหว่างวรยุทธ์พลังอมตะเคล็ดวิชาในม้วนหยกก็มีความเกี่ยวข้องซึ่งกันและกันอยู่เล็กน้อยด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้ขั้นตอนการริเริ่มพลังอมตะวรยุทธ์ที่ใหม่เอี่ยมกระชับไม่เยิ่นเย้อมากขึ้น

แต่ว่าภายในเสี้ยววินาทีเดียว ก็มีพลังอมตะสิบกว่าประเภทผุดขึ้นมาในหัวหลัวซิว ภายใต้การอนุมานของเขา วรยุทธ์เหล่านี้จึงประกอบกันอย่างรวดเร็ว ยิ่งกว่านั้นคือหากเขายินดีทำละก็ เขาสามารถริเริ่มพลังอมตะหรือวรยุทธ์ระดับเทพระดับเก้าออกมาตอนนี้ได้เลย 

เดิมทีวิถีไร้ลักษณ์ก็เชี่ยวชาญเรื่องการอนุมานมากที่สุดอยู่แล้ว คุณสมบัติพิเศษของวิถีไร้ลักษณ์ก็คือเปลี่ยนจากไม่มีเป็นมี ซึ่งสิ่งที่เชี่ยวชาญที่สุดก็เป็นด้านนี้เช่นกัน 

ใช้ผลการฝึกตนเทพมารระดับหกริเริ่มพลังอมตะเทพระดับเก้ามันดูทำให้ผู้คนตื่นตะลึงมากไปหน่อย เมื่อคำนึงถึงเรื่องถ่อมตัว สุดท้ายหลัวซิวจึงประกอบพลังอมตะต่าง ๆ อย่างง่าย ๆ จากนั้นก็นำม้วนหยกที่ใหม่เอี่ยมออกมาหนึ่งชิ้น ก่อนจะนำพลังอมตะที่ประกอบขึ้นมาใหม่ประทับลงไป แล้ววางไว้บนชั้นวางไม้ 

“เวิ่งง!”

ห้วงเวลาบริเวณรอบ ๆ แปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง เมื่อหลัวซิวลืมตาขึ้นมา เขาก็พบว่าตัวเองอยู่นอกแดนเทพโบราณแล้ว

ยังคงอยู่บนป่าที่รกร้างว่างเปล่านั่นอยู่เช่นเคย มีพลังออร่าที่มากมายมหาศาลของผู้อาวุโสราชาเทพทั้งสี่ตลบฟุ้งอยู่บนนภาสูง บริเวณรอบ ๆ มีจอมยุทธ์นับไม่ถ้วนที่มาจากสถานที่ต่าง ๆ รวมตัวกัน ภายในเวลาชั่วขณะ สายตาของทุกคนล้วนผนึกมาทางตัวเขา  

“ผ่านเร็วเช่นนี้เลยหรือ?!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ