มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2718

“ผู้น้อย บรรพศักดิ์สิทธิ์ยังคงอยู่ในโลกหรือ?”

จู่ ๆ ก็มีเสียงที่แหบแห้งดังมาจากความมืดบริเวณรอบ ๆ ดูเหมือนเจ้าของมือดำอันลึกลับนั่นไม่ได้จะลงมือต่อแต่อย่างใด 

“ข้าไม่เข้าใจว่าบรรพศักดิ์สิทธิ์ที่เจ้าหมายถึงคือผู้ใด”หลัวซิวยังคงระแวดระวังอยู่เช่นเคย ฝ่ายตรงข้ามซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ แม้แต่เขายังไม่ทราบตำแหน่งพิกัดที่ชัดเจนเลย ภายใต้สถานการณ์ที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ทำให้เขาอยากออกจากที่นี่เร็ว ๆ มาก

“เจ้าไม่รู้จักบรรพศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ? แล้วเจ้าไปเอาเคล็ดเทวกลั่นวิญญาณมาจากที่ใด? แล้วญาณเทวของเจ้าผนึกรวมออกมาได้อย่างไร?”เสียงที่แหบแห้งยิงคำถามอย่างต่อเนื่อง 

เคล็ดเทวกลั่นวิญญาณ?

เมื่อได้ยินคำถามดังกล่าว หลัวซิวถึงจะนึกขึ้นมาได้กะทันหันว่าขณะที่ฝ่ายตรงข้ามใช้พลังโจมตีวิญญาณที่แปลกประหลาดในตอนแรก ก็เคยอุทานแล้วว่าเขามีพลังญาณเทว

เห็นได้ชัดเจนมากเลยว่าคนดังกล่าวไม่เพียงรู้จักเคล็ดเทวกลั่นวิญญาณ แต่ยังรู้จักญาณเทวอีกด้วย ราวกับเข้าใจคัมภีร์โอสถดีมาก ๆ

เขาเห็นว่าตัวเองผนึกรวมญาณเทวออกมาได้ จึงสันนิษฐานว่าตัวเองเป็นผู้สืบทอดของบรรพศักดิ์สิทธิ์ไท่ชิงอะไรนั่น หรือว่าความเป็นมาของคัมภีร์โอสถมีความเกี่ยวข้องกับบรรพศักดิ์สิทธิ์ท่านนั้นที่เขาหมายถึง?

ในขณะที่หลัวซิวกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ ๆ มือใหญ่สีดำนั่นก็ปรากฏอีกครั้ง ทว่าความเร็วในครั้งนี้เร็วกว่าครั้งก่อนมาก คว้าจับมาทางเขา

แม้นขณะที่ครุ่นคิด หลัวซิวก็ไม่เคยลดความระมัดระวังลงเลย เนื่องจากภายในเสี้ยววินาทีที่ฝ่ายตรงข้ามลงมือ เขาก็ตอบสนองแล้ว ฟาดฟันกระบี่ร่องฟ้าออกไป

“เตี๊ยง!”

พลังที่มากมายมหาศาลและเกะกะระรานพุ่งตรงมา ทำให้ร่างกายของหลัวซิวกระเด็นลอยออกไปอีกครั้ง เขากระอักเลือดเฮือกหนึ่ง ก่อนจะง้างมือโยนธงค่ายออกไปสิบกว่าผืน แล้วเรียงรายกันกลางอากาศที่ว่างเปล่า 

“ทิ้งเคล็ดเทวกลั่นวิญญาณไว้ให้ข้า!”

ภายในน้ำเสียงที่แหบแห้งมีความดุดันปนอยู่เล็กน้อย เห็นเพียงมือใหญ่สีดำข้างนั้นขยำมา แล้วมีระลอกคลื่นสีดำปรากฏหนึ่งลูก มีพลังดูดกลืนที่น่าสยดสยองพรั่งพรูออกมาจากระลอกคลื่น ทำให้ทุกสรรพสิ่งที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ถูกกระชากเข้าไป 

“ทลายซะ!”

หลัวซิวกัดปลายลิ้น อ้าปากแล้วพ่นพลังและเลือดออกมา ทำการเผาผลาญพลังและเลือดภายในพริบตา จากนั้นก็มีพลังที่มากมายมหาศาลปะทุออกมา ธงค่ายสิบกว่าผืนที่เขาโยนออกไประเบิดแตกพร้อมกัน ทำให้ค่ายกลต้องห้ามของที่นี่ฉีกกระชากจนเกิดเป็นช่องโหว่หนึ่งจุด

ไม่มีความลังเลใจใด ๆ เลยแม้แต่น้อย หลัวซิวก็พุ่งออกไปภายในพริบตาแล้ว เมื่อเขาพบว่าตัวเองมาถึงด้านนอก แต่ก็ยังคงได้ยินเสียงคำรามและตะโกนที่ดังมาจากด้านล่างของแม่น้ำอยู่เช่นเคย

หลัวซิวไม่ได้หยุดอยู่กับที่ หลังจากเขาบินหนีออกไปหลายหมื่นไมล์ด้วยความเร็วที่รวดเร็วที่สุดแล้ว เมื่อพบว่าไม่มีคนตามสะกดรอยมา เขาถึงจะหยุดลง

หยิบยาออกมาจากแหวนเก็บของแล้วกลืนกินลงไป หลัวซิวนั่งท่าขัดสมาธิอยู่บนแผ่นดินที่กว้างโล่ง เขม็งตาขมวดคิ้ว 

“คัมภีร์โอสถที่มีเคล็ดเทวกลั่นวิญญาณบันทึก มีต้นกำเนิดมาจากบรรพศักดิ์สิทธิ์ไท่ชิงหรือ?”

ผู้แข็งแกร่งลึกลับที่อำพรางอยู่ด้านล่างแม่น้ำ จากคำพูดของฝ่ายตรงข้าม ทำให้หลัวซิวที่ว่องไวได้เฉียบแหลมทราบข้อมูลบางอย่างที่เขาเมื่อชาติปางก่อนไม่ทราบ 

นี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่เขาได้ยินสมญานามบรรพเทพหากบรรพศักดิ์สิทธิ์ไท่ชิงเป็นผู้ริเริ่มคัมภีร์โอสถจริง ๆ ละก็ เช่นนั้นเกรงว่าความเป็นมาของบรรพศักดิ์สิทธิ์ไท่ชิงท่านนั้นคงจะเก่าแก่กว่าสวรรค์ทั้ง 12 มาก ๆ

เนื่องจากเขาที่เป็นไท่ซ่างฉิงเมื่อชาติปางก่อนเคยแสวงหาโบราณสถานที่เก่าแก่ แล้วค้นพบว่าช่วงเวลาที่คัมภีร์โอสถ ฎีกาค่ายและหนังสือยุทธภัณฑ์อุบัติขึ้นมาในช่วงแรก เป็นยุคสมัยก่อนชิงเทียนเสียอีก! ส่วนชิงเทียนคือสวรรค์องค์แรก และเป็นผู้นำของสวรรค์ทั้ง 12 ด้วย 

ภายใต้การโคจรของเกณฑ์ชีวีนิรันกาล ควบคู่กับประสิทธิผลของยาเซียน ทำให้พลังและเลือดของหลัวซิวที่สูญเสียไปฟื้นฟูกลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว

ตำแหน่งที่ตั้งของแม่น้ำสายนั้นถูกเขาจัดเป็นเขตต้องห้ามแล้ว การที่เขาสามารถหลบหนีออกมาจากด้านล่างได้นั้น สิ่งที่อาศัยคือการจู่โจม ทำการระเบิดธงค่ายนับสิบพร้อมกัน ถึงจะสามารถฝืนฉีกกระชากปริภูมิจนเกิดเป็นช่องโหว่หนึ่งจุด

หากมีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นอีกครั้งละก็ ฝ่ายตรงข้ามต้องมีการเตรียมป้องกันอย่างแน่นอน ซึ่งแผนการเขาก็จะไม่มีทางสำเร็จอีก นอกเสียจากว่ารอผลการฝึกตนของเขาบรรลุถึงแดนเทพมารระดับเจ็ดแล้ว หลัวซิวถึงจะมีความมั่นใจในการต่อกรกับผู้แข็งแกร่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในโดยตรง

นั่นเป็นผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งในยุคโบราณ ถึงแม้จะด้วยสาเหตุบางอย่างทำให้ผลการฝึกตนศักยภาพตกต่ำ แต่ใช่ว่าสักวันเขาจะไม่มีโอกาสเห็นแสงสว่างอีกครั้งเสมอไป 

“ภพชาตินี้ ไม่สงบเลยนะ……”

หลัวซิวถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แท่นบูชาเทพมาร วังเทียนหมิง แล้วก็หุบเขาผนึกปีศาจ ศิลาผนึกปีศาจในมหาโลกาพันสาม บวกกับสิ่งต่าง ๆ นานาที่ได้พบเห็นหลังจากเขามาถึงโลกร้าง ทำให้หลัวซิวมักจะรู้สึกเหมือนมหันตภัยกำลังจะมาเยือนยังไงอย่างนั้น

หากสืบสาวราวเรื่องกลับไปถึงยุคไท่ชู ในทุกยุคสมัยล้วนจะมีมหันตภัยหนึ่งครั้ง ตลอดจนหลายครั้งเลยก็ว่าได้

ยกตัวอย่างเช่นมหันตภัยแห่งการย้อนสังหาสวรรค์ในยุคไท่ชู ก็เป็นมหันตภัยที่ผู้บำเพ็ญปรปักษ์นับไม่ถ้วนที่ถูกเรียกขานว่าวิถีมารปะทะกับสวรรค์ มหันตภัยในครั้งนั้นได้ดำเนินการมาถึงยุคสมัยที่สวรรค์ทั้ง 12 ปกครองจักรวาลฟ้าดิน 

เมื่อสวรรค์ยุคที่ 12 หายเข้าไปในกลีบเมฆ ก็สิ้นสุดยุคไท่ชู ในขณะเดียวกันเนื่องจากมหันตภัยแห่งศึกสงครามครั้งยิ่งใหญ่ ทำให้เกณฑ์ฟ้าดินในจักรวาลฟ้าดินพังทลาย จนถูกคนรุ่นหลังเรียกว่าจักรวาลกันดาร หรือมหาโลกาพันสามในยุคหลังนี่เอง

หลังจากสิ้นสุดยุคไท่ชู ก็คือยุควัฏสงสาร มีจ้าววัฏสงสารอุบัติขึ้นมาทั้งหมดเก้ายุค ก่อนจะสิ้นสุดลง ช่วงปลายยุควัฏสงสาร มีผู้แข็งแกร่งที่นับไม่ถ้วนได้ทำสงครามกันอีกครั้ง จนก่อให้เกิดศึกการช่วงชิงชีวี ซึ่งศึกสงครามในครั้งนั้นรุนแรงดุเดือดกว่ามาก ผู้แข็งแกร่งชั้นยอดในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดแทบจะดับสลายสูญไปหมด!

ในยุคสมัยที่ไท่ซ่างฉิงคงอยู่นั้น หลังจากผ่านพ้นศึกการช่วงชิงชีวีแล้ว ผู้แข็งแกร่งที่อยู่สูงกว่าเทพมารระดับเก้าเป็นต้นไปในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปด ก็เหลือไม่ถึงสิบคน!

ตั้งแต่สิ้นสุดยุคไท่ชูและวัฏสงสาร เกณฑ์ฟ้าดินก็ได้รับผลกระทบและเสียหายอย่างมาก ไม่มีผู้ใดสามารถยึดกุมวิถีสวรรค์ได้อีก ผู้ที่อยู่สูงกว่าแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้า ผนึกรวมกงล้อเทพออกมาได้สิบวงคือผู้สูงส่ง ดังนั้นยุคสมัยนี้ก็ถูกเรียกว่ายุคมหาศักดิ์เช่นกัน 

ทว่าอ้างอิงจากเบาะแสร่องรอยต่าง ๆ ที่คงอยู่มาตั้งแต่โบราณกาล ก่อนยุคไท่ชู ยังมียุคสมัยที่เก่าแก่กว่าอีก แต่มันผ่านพ้นมายาวนานมากเกินไป นานถึงขั้นที่ไม่สามารถสืบสาวราวเรื่องกลับไปได้

แต่ว่าความล้ำลึกของคัมภีร์โอสถ ฎีกาค่ายและหนังสือยุทธภัณฑ์ที่ผู้คนในโลกหล้าต่างให้การยอมรับนั้น ก็สืบทอดมาจากยุคสมัยนั้นเช่นกัน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ