เดินออกมาจากเขาผีเก้า ก่อนที่หลัวซิวจะเดินทางไปนิรยะเพชฌฆาตต่อ ทว่าเมื่อมาถึงนิรยะเพชฌฆาต กลับพบว่านิรยะเพชฌฆาตหายไปแล้ว
อดีตเคยมีปลิวไฟที่ไร้ขอบเขตแผ่คลุมอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ แต่วินาทีนี้มันกลับรกร้างว่างเปล่า ในฟ้าดินเหลือแค่เพียงออร่าเพลิงอัคคีเสี้ยวหนึ่ง
ซึ่งออร่าเพลิงอัคคีประเภทนี้ไม่ใช่พลังเต๋าอัคคีทั่วไปในหมื่นจักรวาลแต่อย่างใด แต่เป็นพลังเต๋าอัคคีประเภทหนึ่งที่อยู่เหนือหมื่นจักรวาล
โดยส่วนใหญ่หลัวซิวสามารถยืนยันได้แล้วว่า การหายไปของนิรยะเพชฌฆาตต้องมีความเกี่ยวข้องกับหลงอวี้อย่างแน่นอน บางทีหลงอวี้ก็คือร่างผู้แข็งแกร่งแห่งยุคที่ดับสลายสูญสิ้นไปพร้อมกับชางเทียนเลี่ยกลับชาติมาเกิด หรือบางทีหลงอวี้อาจจะมาถึงที่นี่ก่อนเขา และโชคโอกาสทุกอย่างที่อยู่ในนิรยะเพชฌฆาตก็ถูกเขาเอาไปแล้วด้วย
ออกมาจากดาราเมฆาทมิฬ หลัวซิวมาถึงห้วงดาราแห่งหนึ่งที่ว่างเปล่า เขาโบกมือกลางอากาศที่ว่างเปล่ารอบหนึ่ง ปริภูมิก็ถูกฉีกกระชากลงมาแถบหนึ่ง ก่อนที่เขาจะพาลาร์ย่างกรายเข้าไป
สิ่งที่เขาฉีกกระชากลงมาไม่ใช่พื้นโลกปริภูมิระหว่างมหาโลกาพันสามและโลกร้าง แต่เขาได้เดินทางมาถึงแดนเทวนิรันกาล แล้วมาถึงตำหนักไท่ซ่างเทียนหย่งนั่น
ศพของเทียนหย่งยังคงนอนอยู่ในโลงศพเทวผนึกน้ำแข็งอยู่เช่นเคย
หลัวซิวนั่งเงียบ ๆ อยู่ที่นี่นานมาก ก่อนจะพูดพึมพำคนเดียว: “เทียนหย่งเอ๊ย หากเจ้ายังมีชีวิตอยู่ละก็ เมื่อเห็นข้าอยู่เคียงข้างเจ้าที่นี่ เจ้าคงจะรู้สึกมีความสุขมากเลยสินะ?”
ในยุคสมัยอันไกลโพ้น เขาไม่มีวันลืมเลยว่าเทียนหย่งเป็นลูกสาวของมหาจักรพรรดิยุทธ์โจ้เทียน เป็นองค์หญิงผู้ภาคภูมิของสวรรค์ที่คนนับหมื่นล้านในโลกจักรภพต่างโปรดปราน ทว่าท้ายที่สุดแล้วแม้นต้องตายนางก็เลือกที่จะติดตามอยู่ข้างกายตน เพราะฉะนั้นหลัวซิวจึงรู้สึกมาโดยตลอดเลยว่าตัวเองเมื่อพบชาติก่อนได้ทำให้นางรู้สึกผิดหวัง
เรียกเตากลั่นนภาจื่อเซียวออกมา หลัวซิวดีดนิ้วทีหนึ่ง ฝาเตาเปิดออก จากนั้นก็มีพลังฉีกชั้นฟ้าบินออกมาเสี้ยวหนึ่ง
พลังฉีกชั้นฟ้าดังกล่าวก็เหมือนดังหอกยุทธ์กระบี่คมสีดำทอง แต่หลัวซิวกลับไม่มีความคิดที่จะฝึกเซ่นให้มันกลายเป็นศัสตราวุธของขลัง เนื่องจากสำหรับเขาแล้ว ร่างกายของเขาก็คือศัสตราวุธที่แข็งแกร่ง
“มาเถอะ!”
เห็นเพียงหลัวซิวอ้าปากแล้วดูดลมเข้าไปเฮือกหนึ่ง พลังฉีกชั้นฟ้าเสี้ยวนั้นจึงถูกเขากลืนลงท้องโดยตรง การกระทำเช่นนี้ก็เหมือนชาวบ้านธรรมดาทั่วไปในโลกกลืนกินกระบี่เศษณ์หนึ่งเล่ม!
เพียงชั่วพริบตาเดียว ก็มีบาดแผลที่ถูกฉีกกระชากปรากฏบนผิวหนังของหลัวซิว เลือดเนื้อของเขา เอ็นกระดูกของเขา มากไปกว่านั้นคืออวัยวะภายในของเขาล้วนแตกร้าว!
“สมบัติแห่งสังสารวัฏปลุกเสกร่างข้า!”
หลัวซิวตะคอกเสียงดังลั่น พลานุภาพของตำหนักวัฏสงสารและลูกแก้วความเป็นตายจึงแย้มบานออกมาพร้อมกัน หลังศีรษะมีเงาลวงวัฏจักรปรากฏหนึ่งวง ทำให้ร่างเนื้อของเขามั่นคงขึ้น ทำให้ร่างกายเขาไม่พังทลายลงไปต่อ
ในขณะเดียวกัน ยันต์ค่ายทั้ง 99 ยันต์ก็ปรากฏบนร่างกายเช่นกัน ทว่าพลังฉีกชั้นฟ้าแข็งแกร่งมากเกินไป ยันต์ค่ายทั้ง 99 ยันต์บนร่างกายก็เริ่มมีรอยร้าวปรากฏเช่นกัน
อย่างไรก็ตามหลัวซิวกลับไม่สนใจอะไรเลย เขากัดฟันแน่น โคจรวิชาก่อเกิดกายและวิชากลั่นร่างกลืนเศษณ์ ขอแค่ร่างกายของเขาสามารถยืนหยัดต่อไปได้และไม่พังทลาย เช่นนั้นเขาก็จะสามารถกลั่นแปรพลังฉีกชั้นฟ้าที่กลืนกินลงไปได้!
แม้นขั้นตอนดังกล่าวจะทรมานเจ็บป่วยอย่างยิ่ง แต่หลัวซิวกลับรู้สึกว่าไม่มีความเจ็บปวดใดที่เขาไม่สามารถอดทนได้
เวลาล่วงเลยไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เพียงชั่วพริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปสามเดือนกว่าแล้ว พลังฉีกชั้นฟ้าก้อนเล็ก ๆ ที่ถูกผนึกอยู่ในเตากลั่นนภาจื่อเซียวล้วนถูกหลัวซิวกลั่นแปรหมดแล้ว
เมื่อลองสำรวจร่างกายภายใน พบว่ามีรัศมีเทวสีดำทองเปล่งประกายตามกระดูกของเขา อย่างไรเสียพลังฉีกชั้นฟ้าที่เขากลั่นแปรนั้นก็มีน้อยมาก ๆ ซึ่งยังไม่เพียงพอต่อการทำให้เขานำมาชุบทั้งร่างกายตัวเองอีกรอบ
มาตรแม้นว่าเป็นเช่นนี้ ร่างกายของเขาก็น่าสยดสยองยิ่งกว่าเดิมเช่นกัน เนื่องจากเขากลั่นแปรพลังฉีกชั้นฟ้า เช่นนั้นภายในร่างกายของเขาจึงมีพลังเต๋าของพลังฉีกชั้นฟ้าที่สามารถฉีกกระชากบดขยี้ทุกสรรพสิ่งแฝงซ่อนอยู่ด้วย!
ถึงแม้ร่างเนื้อของเขาจะยังเป็นร่างเทวระดับแปดสำเร็จแรกอยู่เช่นเคย แต่ก็สามารถทำลายอาวุธเทพระดับแปดชิ้นหนึ่งให้กลายเป็นฝุ่นผงได้อย่างง่ายดายแน่นอน
“เทียนหย่ง ข้าจักลาแล้ว เจ้าคอยข้านะ สักวันข้าจะบุกเข้าไปในวัฏสงสาร แล้วฟื้นคืนชีพเจ้ากลับคืนมาอย่างแน่นอน”
สุดท้ายหลัวซิวมองเงาร่างของโฉมงามที่นอนอยู่ในโลงศพเทวรอบหนึ่ง ก่อนที่เขาจะหันหลังจากไปโดยที่ไม่หันหน้ากลับมามองอีกเลย
……
ณ ห้วงดาราแห่งหนึ่งในมหาโลกายอดอัมพร มีศพของผู้แข็งแกร่งที่นับไม่ถ้วนลอยเกลื่อนกลาดอยู่ที่นี่ สภาพน่าเวทนามากจนไม่อาจทนดูได้
“พวกมดตัวจ้อย ก็บังอาจมาแย่งสมบัติกูอย่างนั้นรึ?”
หากหลัวซิวอยู่ที่นี่ด้วย เขาต้องรู้จักคนดังกล่าวแน่นอน เพราะสตรีดังกล่าวไม่ใช่ผู้อื่นใด นางก็คือซูเสว่หลันนั่นเอง
ครั้นเมื่ออยู่นอกแดนเทพโบราณ ซูเสว่หลันยุยงให้ถูโยวหมิงจากไปพร้อมกับนาง ทว่าวินาทีนี้กลับไม่เห็นเงาร่างของถูโยวหมิงปรากฏข้างกายนางเลย
ซูเสว่หลันลูบไล้ไฟเทวที่อยู่ในมือ แล้วมีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าที่เยือกเย็น “ช่างเป็นสมบัติที่ทรงพลังเสียจริง โดยเฉพาะภายในไฟเทวดวงนี้ยังมีวรยุทธ์แฝงซ่อนอยู่หนึ่งวิชาด้วย ก็คงโทษได้แค่เพียงเจ้าถูโยวหมิงนั่นโฉดเขลาเป็นอย่างยิ่ง สุดท้ายแล้วก็ไม่ค้นพบความล้ำลึกที่แท้จริงของไฟเทวดวงนี้”
“แต่ทว่าการสังหารพวกมดตัวจ้อยนอกคอกในสถานกันดารก็น่าเบื่อเช่นกัน อนาคตหากกูประสบความสำเร็จในด้านการฝึกตน การก่อตั้งตระกูลซูขึ้นมาใหม่นั้นจักไม่มีปัญหาใด ๆ ถึงครานั้นกูจักทำให้พวกสำนักสรรพอสูรได้ชดใช้ด้วยเลือดแน่นอน!”
มีความเกลียดชังทะลุออกมาจากแววตาซูเสว่หลัน หลังจากที่นางออกมาจากแดนเทพโบราณพร้อมกับถูโยวหมิงแล้ว ก็ทราบข่าวที่ตระกูลซูถูกสำนักสรรพอสูรล้มล้าง นาง ณ ปัจจุบันไร้บ้านให้กลับไปพักพิงอาศัยแล้ว
นางจดจำความแค้นนี้เอาไว้ในใจ นางได้รับไฟเทวมา อีกทั้งยังได้รับเคล็ดเซียนยอดเยี่ยมมาอีกหนึ่งวิชาด้วย นางเชื่อว่าขอแค่ตัวเองขยันฝึกตน อนาคตมีโอกาสบรรลุเป็นเทพมารระดับเก้าสูงมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ
มีต่อไหมครับรออยู่นะครับ...
มึงๆ กูๆ เชี้ยไรเยอะแยะวะ นิยายจีนนะโว้ย อ่านเจอแล้วสดุดเสียรมตลอด...
แปลต่อทีค่า รออ่านอยู่นะคะ🥺🥺...
มีต่อไหมครับ...
รออยู่นะครับ...
เรื่องเก่าอัพเดตบ้าง ไม่ใช่ลงแต่เรื่องใหม่...
เมื่อไรจะลงซักที...
เค้ายังแปลอยู่ไหมครับ...
ไม่ลงให้อ่านซักที...
รออานยุ...