มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2756

นภาเหนือเมืองต้าฮวงโบราณ โลกาใบหนึ่งที่ถูกวิวัฒนาการออกมาจากมือข้างหนึ่งของผู้สูงส่งโลกร้างได้ดึงดูดสายตาของผู้แข็งแกร่งที่นับไม่ถ้วนในเมือง 

โลกาใบนี้ผนึกรวมอยู่กลางฝ่ามือ มีเกณฑ์ฟ้าดินที่เกือบจะสมบูรณ์แบบแฝงซ่อนอยู่ภายใน ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากที่อยู่ในเมืองต้าฮวงโบราณล้วนสามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกาจ่างจงได้อย่างชัดเจน 

เห็นได้ชัดเจนมากเลยว่านี่คือการแข่งขันที่ยุติธรรม ขั้นตอนการทั้งปวงและผลผลลัพธ์ต่างปรากฏตรงหน้าสาธารณชนอย่างตรงไปตรงมาและจริงใจ ทำให้ผู้คนรู้สึกพึงพอใจมาก

เหล่าผู้แข็งแกร่งที่มีหน้ามีตาที่มาจากดินแดนต่าง ๆ ล้วนนั่งอยู่ภายในห้องโถงใหญ่ของตำหนักหลักเมือง เงาร่างของทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนดูเล็กมากอย่างสังเกตเห็นได้ชัด มีเพียงเงาร่างของฮวงจวินเท่านั้นที่สูงใหญ่อย่างยิ่ง แสดงให้เห็นถึงพลานุภาพที่น่าเกรงขามของผู้แกร่งเลิศ 

เหล่าวัยรุ่นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศ อัจฉริยะผู้แข็งแกร่งล้วนบินเข้าไปในโลกาจ่างจง แสงกลทั้งหลายเหมือนดั่งดาวหาง มากมายถี่ยิบ ซึ่งมีนับหมื่นคนเลย!

“ภายในเทพมารระดับแปดนับหมื่น ต้องไม่ขาดแคลนอัจฉริยะไร้เทียมทานแน่นอน ทว่าโควต้าของหอคอยฮวงกลับมีเพียงหนึ่งพันที่ เป็นการแข่งขันดุเดือดมากเลยนะเนี่ย”เจ้าเมืองร้างพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา 

“ต่อให้การแข่งขันจะดุเดือดมากเพียงใด เจ้าเมืองน้อยก็ต้องได้รับโควต้าอย่างแน่นอน”

ผู้อาวุโสคนหนึ่งแห่งเมืองต้าฮวงโบราณยิ้มพลางพูด “นอกเหนือจากเจ้าเมืองน้อยแล้ว ศึกการช่วงชิงโควต้าหอคอยฮวงในครั้งนี้ก็มีอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งคนอื่น ๆ ที่มีศักยภาพแข็งแกร่งเช่นกัน มีผู้ที่น่าเฝ้าติดตามเช่นสวีเซิ่งเจี๋ยที่มีร่างเทวไร้มลทินจากสำนักศักดิ์สิทธิ์จตุ พรายสาวสรรค์ฮู๋ชิงชิงจากแดนศักดิ์สิทธิ์วิถีปีศาจหวงฟางเทียนจากเผ่าเหลืองแห่งโลกเหลือง เทพธิดาหยวนเหยาจากสำนักศักดิ์สิทธิ์เบญจหยวนแห่งโลกเสวียนต่าง ๆ เป็นต้น......”

เมื่อเจ้าเมืองร้างได้ยินคำพูดดังกล่าว ก็พยักหน้าเบา ๆ “อัจฉริยะในยุคสมัยนี้มีมากเกินไป ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้ใดจะสามารถกดอัดเหล่าอัจฉริยะทั้งปวงแล้วกลายเป็นอันดับหนึ่งได้!”

เมื่อพูดคำพูดดังกล่าวออกมา เหล่าผู้อาวุโสแห่งเมืองต้าฮวงโบราณก็ต่างพากันมองหน้าซึ่งกันและกัน ถึงแม้พวกเขาอยากจะบอกมาก ๆ ว่าเจ้าเมืองน้อยหวูจี๋สามารถกดอัดเหล่าอัจฉริยะ ทว่ากลับไม่มีความมั่นใจมากเท่าไหร่นัก อย่างไรเสียหากพูดในมุมตัวตนของพวกเขาแล้ว การพูดโม้ก่อนกาล มันเป็นการทำให้ชนเผ่าฮวงอับอายขายหน้าชัด ๆ 

แท้จริงแล้วแม้นเหล่าอาวุโสจะไม่พูด ตัวเจ้าเมืองร้างเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจเช่นกัน ถึงแม้ฮวงหวูจี๋จะเป็นอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในหมู่วัยรุ่นชนเผ่าฮวง ทว่าเมื่อมองในมุมอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งที่นับไม่ถ้วนในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดแล้ว อย่างมากศักยภาพของเขาก็สามารถถูกจัดอยู่ในอันดับหนึ่งในร้อยเท่านั้น  

แม้การช่วงชิงโควต้าหอคอยฮวงในครั้งนี้จะดึงดูดอัจฉริยะจากดินแดนต่าง ๆ มามากจนนับไม่ถ้วน แต่ในความเป็นจริงยังมีอัจฉริยะอีกจำนวนมาก ที่ไม่ได้มาเข้าร่วมเพราะผลการฝึกตนอยู่สูงกว่าเทพมารระดับเก้าแล้ว

บางคนสามารถกลั้นใจตัดผลการฝึกตนทิ้ง ก็เพื่อให้มีโอกาสในการเข้าไปฝึกฝนเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในหอคอยฮวง แต่สำหรับอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งบางคนแล้ว จังหวะโอกาสอย่างหอคอยฮวงมันไม่ได้สำคัญขนาดนั้น เนื่องจากตัวพวกเขาเองล้วนมีโอกาสที่ไม่ด้อยกว่าหอคอยฮวง จึงไม่มีความจำเป็นต้องตัดผลการฝึกตนของตัวเองที่ได้รับมาอย่างยากลำบากทิ้ง เพื่อมาประสมโรงที่นี่

หากนับอัจฉริยะส่วนนี้ด้วยละก็ ศักยภาพของฮวงหวูจี๋ก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรขนาดนั้นแล้ว 

“ช่างเป็นวิถีแห่งเกณฑ์ที่มหัศจรรย์ยิ่งนัก!”

เสี้ยววินาทีที่หลัวซิวเข้าไปในโลกาจ่างจง ก็มีพลังเกณฑ์ปริภูมิม้วนซัดเข้ามา ทำให้เขาถูกส่งไปยังเขตพื้นที่นิรนามแห่งหนึ่งภายในพริบตา

เขาไม่ได้รู้สึกตะลึงต่อสิ่งนี้ เกณฑ์ปริภูมิก็เป็นเพียงหนึ่งในเกณฑ์เทียนเต้าที่หาพบได้บ่อย การที่ส่งทุกคนที่เข้ามาในโลกาจ่างจงไปยังตำแหน่งที่แตกต่างกันนั้น ก็เพื่อคำนึงถึงความยุติธรรมเช่นกัน 

ส่วนสาเหตุที่หลัวซิวชมว่าโลกาจ่างจงแห่งนี้อัศจรรย์เป็นหนึ่ง กลับเป็นเพราะเกณฑ์เทียนเต้าของที่นี่สมบูรณ์แบบมากเกินไปแล้ว!

ถึงแม้จะไม่ได้สมบูรณ์แบบถึงขั้นที่มองเห็นเกณฑ์เทียนเต้าปรากฏเป็นรูปเป็นร่าง ทว่าก็ถือว่าใกล้เคียงมาก ๆ แล้ว ซึ่งนี่ก็หมายความว่าผู้สูงส่งโลกร้างที่บัญชาการรักษาอยู่ในเมืองต้าฮวงโบราณที่ยึดกุมหอคอยฮวง แทบจะตระหนักรู้วิถีเกณฑ์ทั้งปวงที่อยู่ในขอบเขตของเทียนเต้าโดยสิ้นเชิงแล้วหรือ? 

เมื่อนึกถึงจุดนี้ แม้แต่ตัวหลัวซิวเองก็รู้สึกตะลึงอย่างควบคุมไม่ได้ วิถีเกณฑ์ที่อยู่ในขอบเขตของเทียนเต้ามีเยอะมากจนนับไม่ถ้วน การที่จะตระหนักรู้วิถีเกณฑ์ทุกประเภทให้ถึงขีดสูงสุดได้นั้น สิ่งที่ต้องการไม่ได้มีเพียงพรสวรรค์และความสามารถในตระหนักรู้ของตัวบุคคลแล้ว แต่ยังต้องใช้เวลาจำนวนมากมาสะสมตกตะกอนด้วย

หากไม่มีกำลังที่มากล้น ไม่มีจิตใจแน่วแน่ที่ยืนหยัดมานาน ต้องไม่มีทางฝึกถึงแดนระดับนี้ได้อย่างแน่นอน 

หากฝ่ายตรงข้ามตระหนักรู้เกณฑ์เทียนเต้าทั้งปวงได้อย่างสมบูรณ์แบบ เช่นนั้นผู้สูงส่งโลกร้างท่านนี้ก็จะสามารถใช้โอกาสนี้มายึดกุมเกณฑ์เทียนเต้า กลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่เป็นทำนองเดียวกันกับสวรรค์และจ้าววัฏสงสาร!

อย่างไรก็ตามการที่จะก้าวข้ามก้าวนี้ เป็นสิ่งที่ทำได้ยากเกินไป ผู้สูงส่งโลกร้างตระหนักรู้เกณฑ์เทียนเต้าได้ลึกซึ้งจนถึงขีดสุดก็จริง แต่หลัวซิวกลับสัมผัสได้ว่าเกณฑ์เทียนเต้าที่ผู้สูงส่งโลกร้างตระหนักรู้ ขาดอะไรบางอย่างที่สำคัญมาก ๆ 

หากไม่สามารถทดแทนข้อบกพร่องเหล่านี้ เช่นนั้นไม่ว่าผู้สูงส่งโลกร้างจะตระหนักรู้อย่างไร ก็ไม่สามารถก้าวข้ามผ่านขีดจำกัดของผู้แกร่งเลิศ ไม่มีวันบรรลุสู่แดนอย่างสวรรค์และจ้าววัฏสงสาร

ส่ายหน้าไปมา หลัวซิวสลัดความคิดที่ยุ่งเหยิงเหล่านี้ทิ้ง ก่อนจะแผ่ขยายตัวสำนึกออกไป ภายในเขตพื้นที่บริเวณโดยรอบหนึ่งหมื่นไมล์ที่ตัวสำนึกแผ่คลุม ไม่มีออร่าของจอมยุทธ์คนอื่น ๆ ปรากฏแต่อย่างใด

เขายกมือโบกครั้งหนึ่ง หินแก้วดั้งเดิมและยาเซียนจำนวนมากก็ถูกเขาหยิบออกมา จากนั้นพลังอันบ้าคลั่งที่มากมายมหาศาลก็ถ่ายเทเข้าไปในร่างกายเขา 

หลังจากผ่านไปเพียงชั่วขณะ อำนาจเทียนเต้าอันน่าเกรงขามที่มากมายมหาศาลและสว่างไสวก็ปรากฏในโลกาจ่างจง ทัณฑ์สายฟ้าพิโรธจุติลงมาแล้ว!

ซึ่งนี่คือมหาทัณฑ์เทพมารระดับแปดของหลัวซิว!

ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาทำให้รากฐานของตนมั่นคงแข็งแรงอย่างต่อเนื่อง สั่งสมภูมิฐาน หวังแค่ว่าสักวันจะสามารถทลายพันธนาการของแดนใหญ่

เขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าถึงแม้กำลังรบของตัวเองจะแข็งแกร่ง ทว่าอัจฉริยะในโลกมหาศักดิ์ทั้งแปดมีเยอะจนนับไม่ถ้วน ภายในยิ่งไม่ขาดแคลนอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งที่ฝึกตนถึงแดนเทพมารระดับแปดขั้นสูง ภายใต้สถานการณ์ที่เสียเปรียบเรื่องผลการฝึกตน ใช่ว่าเขาจะเป็นคู่ต่อสู้ของคนเหล่านั้นเสมอไป 

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงทำได้เพียงทำให้ตัวเองบรรลุถึงแดนเทพมารระดับแปด ถึงจะสามารถต่อกรกับอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานเหล่านั้นได้

“ทัณฑ์สายฟ้าพิโรธ!”

“มีคนข้ามผ่านทัณฑ์เวลานี้อย่างนั้นหรือ?” 

“พลังออร่าของทัณฑ์สายฟ้านี้ทรงพลังมาก หรือว่ามีคนทลายพันธนาการของแดนเทพมารระดับเก้า?”

ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากที่อยู่ในตำหนักหลักเมืองต่างตกตะลึง เงื่อนไขในการเข้าไปในหอคอยฮวงคือต้องต่ำกว่าเทพมารระดับเก้า หากมีคนบรรลุสู่แดนเทพมารระดับเก้าเวลานี้ เช่นนั้นคนดังกล่าวก็ต้องตกรอบอย่างไร้ข้อสงสัยแล้วล่ะ สูญเสียโอกาสในการได้เข้าไปหอคอยฮวง

แววตาที่เฉียบคมทั้งหลายล้วนเพ่งมองไปทางโลกาจ่างจง ก่อนจะสังเกตเห็นชายหนุ่มชุดดำที่ดึงดูดทัณฑ์สายฟ้าพิโรธมาอย่างรวดเร็ว 

“ไม่ใช่สิ! ไม่ได้บรรลุสู่เทพมารระดับเก้า แต่บรรลุสู่เทพมารระดับแปด!”

ชายหนุ่มที่ร่างกายดูเข้มแข็งเดินตรงมาบนกลางอากาศที่ว่างเปล่า สายตาที่ร้อนผ่าวเขม็งมองหลัวซิว แสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางพูด: “ข้าเคยได้ยินตำนานเรื่องเล่าของหุบเขาสยบปีศาจ เล่ากันว่าเจ้าเป็นร่างที่ผู้แข็งแกร่งระดับผู้สูงส่งในยุคโบราณกลับชาติมาเกิด น่าเสียดายที่ไม่ว่าภูมิหลังของเจ้าจะยิ่งใหญ่มากเพียงใด แต่ผลการฝึกตนก็เพิ่งจะบรรลุถึงแดนเทพมารระดับแปด ซึ่งถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องได้ตายอยู่ในเงื้อมมือข้า!”

“คิคิคิ เล่ากันว่าไท่ซ่างฉิงจ้าวแห่งหุบเขาสยบปีศาจมีพรสวรรค์ที่น่าทึ่ง เป็นหนึ่งชั่วนิดนิรันดร์ หากสามารถฆ่าร่างของเขาที่กลับชาติมาเกิด ชื่อเสียงต้องโด่งดังไปตลอดกาลแน่นอนเลยสินะ?”

มีสตรีสวยยั่วยวนที่มือถือแส้ยาวเดินออกมาอีกคนหนึ่ง ภายในแววตามีเสน่ห์ปนอยู่เล็กน้อย หัวเราะพลางมองมาทางหลัวซิว

จากการที่หลัวซิวค่อย ๆ ได้รับความสนใจในโลกร้าง ความเป็นมาของเขาไม่ใช่ความลับอะไรต่อเหล่าแดนศักดิ์สิทธิ์ขั้นสุดยอดที่มีการถ่ายทอดสืบสานเก่าแก่แล้ว 

หลัวซิวก็เตรียมใจรับมือกับสิ่งนี้ตั้งนานแล้วเช่นกัน ตั้งแต่วินาทีที่เขาเข้าไปปกครองหุบเขาสยบปีศาจ เขาก็รู้แล้วว่าคนอื่นต้องคาดเดาความเป็นมาของตัวเองได้แน่นอน ด้วยเหตุนี้เมื่อถูกผู้อื่นเปิดโปง เขาก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเช่นกัน สีหน้ายังคงสุขุมอยู่เช่นเคย 

“ผู้สูงส่งกลับชาติมาเกิดบ้าบออะไร กูว่าก็เป็นแค่พวกหมูหมากาไก่เท่านั้นแหละ ลูกไก่ตัวเดียว บีบทีเดียวก็ตายแล้ว!”

เสียงหัวเราะดังลั่นที่โอหังสะท้อนมา ชายหนุ่มที่มีแสงสีทองเปล่งประกายอยู่ทั่วร่าง และมีรัศมีเทวพรั่งพรูได้เดินออกมาจากอนัตตา แสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นแล้วพูดว่า: “เมื่ออยู่ต่อหน้าร่างยิ่งศักดิ์ทองของกู คู่ต่อสู้ทั้งปวงก็เป็นแค่กากแดนเท่านั้นแหละ!”

ร่างยิ่งศักดิ์ทองก็เป็นฐานร่างแข็งแกร่งประเภทหนึ่งที่ไม่ด้อยกว่าร่างอสูรฟ้าและร่างเทวไร้มลทินเช่นกัน ซึ่งฐานร่างประเภทนี้แข็งกร้าวอย่างยิ่ง พลังโจมตีปราบปรามเป็นหนึ่งไม่เป็นรอง 

“พวกเจ้าพูดมากเกินไปแล้ว ให้ข้ากำจัดมันทิ้งก่อนค่อยว่ากันอีกทีเถอะ!”

จู่ ๆ ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏด้านหลังหลัวซิว ไม่ให้ซุ่มให้เสียง ไม่มีลางบอกให้รู้เลยแม้แต่น้อย แสงกระบี่ที่เย็นเยือกหนึ่งเล่มฟาดฟันไปที่หลังคอของหลัวซิว

คนดังกล่าวชำนาญการลอบสังหารและจู่โจม ซึ่งเขาอำพรางอยู่ในละแวกใกล้เคียงมาโดยตลอด ขณะที่ความสนใจของหลัวซิวถูกทั้งสามคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามดึงดูดไป เขาก็ลงมือกะทันหัน จิตสังหารระเบิด 

“แมลงเม่าเขย่าต้นไม้หรือ?”

หลัวซิวไม่แยแส ยิ่งกว่านั้นคือเขาไม่ได้หันหน้ากลับไปเลยด้วยซ้ำ ง้างฝ่ามือขึ้นมาแล้วโจมตีไปด้านหลังตัวเอง ราวกับจะไล่แมลงวันที่น่ารำคาญตัวหนึ่งยังไงอย่างนั้น 

“เตี๊ยงง!”

เสี้ยววินาทีที่ฝ่ามือและแสงกระบี่พุ่งชนกัน สีหน้าของชายหนุ่มที่จู่โจมก็เปลี่ยนไปกะทันหัน มีรังสีแห่งความหวาดกลัวทะลุออกมาจากดวงตา ก่อนจะถอยหลังกลับไปด้วยความเร็วที่รวดเร็วที่สุด

อย่างไรก็ตามการที่เขาจะถอยเวลานี้มันกลับสายไปแล้ว แสงกระบี่ถูกฝ่ามือของหลัวซิวกดอัดจนแต่เป็นเสี่ยง ๆ จากนั้นร่างกายของเขาก็ถูกฝ่ามือของหลัวซิวโจมตีเช่นกัน จู่ ๆ ร่างกายก็ระเบิดแตกเป็นชิ้น ๆ ร่างตายธรรมสิ้น

“ช่างเป็นพลังโจมตีที่ทรงพลังยิ่งนัก!”

มีผู้แข็งแกร่งจากดินแดนต่าง ๆ รวมตัวกันในในตำหนักหลักเมือง และมีคนมองเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าวด้วยสายตาตนเอง สถานการณ์จึงฮือฮาขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ พูดอย่างตะลึงงัน: “ผู้ที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมการช่วงชิงโควต้าหอคอยฮวงล้วนเป็นอัจฉริยะผู้แข็งแกร่งที่สามารถข้ามขั้นสังหารศัตรู เขาเพิ่งบรรลุสู่แดนเทพมารระดับแปด ไม่นึกเลยว่าจะสามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามภายในฝ่ามือเดียวอย่างนั้นหรือ?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ