มหายุทธ์ สะท้านภพ นิยาย บท 2782

“ปู๊ดปู๊ดปู๊ด……”

จากการที่เสียงแตรสัญญาณดังขึ้น กองทัพใหญ่ก็เคลื่อนพล เรือรบทั้งหลายที่เต็มเปี่ยมไปด้วยออร่าอันเก่าแก่จัดเรียงกันเป็นค่าย เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ฉีกกระชากอนัตตา แล้วมุ่งหน้าตรงไปยังแดนเทวบรรพอัคคีโดยตรง

กำลังสำคัญในครั้งนี้ก็ยังคงเป็นกองทัพใหญ่ของวังชิงเทียนอยู่เช่นเคย ในส่วนของจอมยุทธ์อย่างพวกหลัวซิวที่รับภารกิจในตำหนักกิ่งโยงพลังนั้น ภารกิจหลักของพวกเขาก็คือแทรกแซงเข้าไปในแดนเทวบรรพอัคคี แล้วทำลายแท่นบูชาฐานค่าย

เนื่องจากทั้งแดนเทวบรรพอัคคีถูกปกคลุมอยู่ในค่ายกลที่ทรงพลังมาก แท่นบูชาฐานค่ายแต่ละแท่นสูงเสียดเมฆ เล่ากันว่าก็เป็นเพราะใช้ค่ายกลดังกล่าวนี้แหละ มกุฎศักดิ์สิทธิ์บรรพอัคคีถึงจะสามารถอัญเชิญจิตเศษของผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาในอดีตกลับมาได้ ทำการฟื้นคืนชีพพวกเขา แล้วทำสงครามปราบปรามพร้อมกับตัวเองต่อ

ในระหว่างทางที่มุ่งหน้าไปยังแดนเทวบรรพอัคคีต้องเดินทางผ่านทุ่งฮวงแตกสลาย อ้างอิงจากเบาะแสที่หลัวซิวได้รับจากจุดแบ่งภารกิจ ลู่เมิ่งเหยาเคยปรากฏที่นี่เมื่อหลายปีก่อน 

ทุ่งฮวงแตกสลายกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา หลัวซิวแผ่ขยายตัวสำนึกออกไป และไม่พบเงาร่างของผู้ใดเลยแม้แต่คนเดียว ทั้งฟ้าดินตลบฟุ้งไปด้วยออร่าประเภทหนึ่งที่เงียบเชียบเศร้าสลด

ทว่าจากการที่หลัวซิวลึกเข้าไปในส่วนลึกของทุ่งฮวงแตกสลาย ตัวสำนึกของเขาก็ยิ่งอยู่ยิ่งสัมผัสจำนวนผู้คนได้มากยิ่งขึ้น เห็นได้ชัดเจนเลยว่าถึงแม้ศึกสงครามระหว่างแดนเทวบรรพอัคคีและวังชิงเทียนจะปะทุ ก็ขัดขวางความกระตือรือร้นของจอมยุทธ์ที่มาตามหาโอกาสสมบัติที่นี่ไม่ได้อยู่ดี 

เดิมทีสมบัติที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในทุ่งฮวงแตกสลายก็คือหินบรรพไท่ชูนี่แหละ หลังจากมีคนเคยค้นพบหินบรรพไท่ชูก้อนแรกที่นี่ กระทั่งปัจจุบันจอมยุทธ์ที่เดินทางมาที่นี่ก็มีมากดั่งฝูงปลาในแม่น้ำ

แม้จอมยุทธ์ทั่วไปจะไม่รู้ซึ้งถึงความล้ำค่าของหินบรรพไท่ชู ทว่าขอแค่เป็นผู้แข็งแกร่งที่กำเนิดจากกองกำลังที่มีการถ่ายทอดสืบสานระดับผู้สูงส่ง ก็จะรู้ว่าการที่จะบรรลุจากมหาจักรพรรดิยุทธ์ระดับเก้าไปยังแดนผู้สูงส่งนั้น หินบรรพไท่ชูแทบจะเป็นสิ่งของที่ขาดไม่ได้เลย

หินบรรพไท่ชูก้อนหนึ่งที่มีขนาดเท่ากำปั้น เพียงพอที่จะขายเป็นกรองแก้วโลหิตดั้งเดิมนับสิบล้านชิ้นเลย

ภารกิจที่วังชิงเทียนประกาศก็มีหินบรรพไท่ชูเป็นรางวัลตอบแทนเช่นกัน แต่ทว่าภารกิจนั้นอันตรายมากเกินไป เมื่อเปรียบเทียบกับการยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อไปแย่งชิงของรางวัล มีจำนวนคนที่มากกว่ายินดีมาตามหาสมบัติในทุ่งฮวงแตกสลาย

เดินอยู่ในส่วนลึกของทุ่งฮวงแตกสลาย ขอแค่เป็นสถานที่ที่เขาเคยเดินผ่าน ก็แทบจะสามารถมองเห็นร่องรอยที่เคยขุดได้ทุกที่เลย  

แต่จุดประสงค์ในการมาที่นี่ของหลัวซิวไม่ใช่มาตามหาหินบรรพไท่ชู เขาขยายตัวสำนึกออกไปให้กว้างมากที่สุด ขอแค่สัมผัสออร่าของจอมยุทธ์คนอื่น ๆ ได้ เขาก็จะรีบแพร่ขยายไปทันที เพื่อตรวจสอบดูว่ามีข้อมูลที่มีความเกี่ยวข้องกับลู่เมิ่งเหยาหรือไม่

เพียงพริบตาเดียวเวลาก็ล่วงเลยไปสี่วันแล้ว หลัวซิวก็ยังไม่พบเบาะแสใด ๆ อีกเช่นเคย เขาวางแผนที่จะตามหาอีกหนึ่งวัน หากยังไม่มีข่าวคราวใด ๆ อีกละก็ เช่นนั้นเขาก็ทำได้เพียงไปประกาศภารกิจที่ตำหนักกิ่งโยงพลังต่อแล้วล่ะ

เวลาล่วงเลยไปอีกครึ่งวันโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว สิ่งที่ทำให้หลัวซิวรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยคือ เขาไม่พบเบาะแสที่มีความเกี่ยวข้องกับลู่เมิ่งเหยาเลย แต่ตัวสำนึกของเขาสัมผัสออร่าของหินบรรพไท่ชูได้จากตำแหน่งที่อยู่ต่ำกว่าพื้นดินหลายหมื่นเมตร 

ชาติปางก่อนเขาก็เคยใช้หินบรรพไท่ชูจำนวนมากมาฝึกตนแล้ว ภพชาตินี้เขาก็มีหินบรรพไท่ชูขนาดเล็กติดตัวสามก้อนเช่นกัน เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่มีทางจำพลังออร่าของหินบรรพไท่ชูผิดแน่นอน

ในเมื่อค้นพบหินบรรพไท่ชูแล้ว หลัวซิวย่อมไม่มีทางปล่อยมันไปอยู่แล้ว ตัวสำนึกของเขาผนึกรวมกันกลายเป็นมือใหญ่ข้างหนึ่ง ในขณะที่เขาเตรียมพร้อมที่จะเอาหินบรรพไท่ชูที่อยู่ต่ำกว่าพื้นดินหลายหมื่นเมตรมาอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีเตาเล็กสีทองสัมฤทธิ์ปรากฏหนึ่งเตา ทำการเก็บหินบรรพไท่ชูไปจนเสียงดังกวง

ต่อมาก็มีเงาดำร่างหนึ่งปรากฏในตัวสำนึกของหลัวซิว เตาเล็กทองสัมฤทธิ์กลายเป็นลำแสงดวงหนึ่ง แล้วหายเข้าไปตรงกลางหว่างคิ้วของนาง

เมื่อตัวสำนึกของหลัวซิวสังเกตเห็นฝ่ายตรงข้าม สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปกะทันหัน เนื่องจากคนดังกล่าวก็คือลู่เมิ่งเหยาที่เขาตามหามาตลอดนั่นเอง

แต่ทว่าลู่เมิ่งเหยา ณ ปัจจุบันแตกต่างจากลู่เมิ่งเหยาในความทรงจำเขาเล็กน้อย ใบหน้าของนางเย็นชามาก ๆ เหมือนดังภูเขาน้ำแข็งลูกหนึ่ง ดูเย็นชาเข้าถึงยาก

และสิ่งที่ทำให้หลัวซิวรู้สึกสงสัยคือเขาแผ่ตัวสำนึกออกไปตามหาลู่เมิ่งเหยามาโดยตลอด ทว่าตั้งแต่เริ่มต้นกระทั่งบัดนี้เขากลับไม่พบออร่าของนางเลย หากไม่ใช่เพราะนางลงมือแก่งแย่งหินบรรพไท่ชูแล้วปรากฏตัวก่อนละก็ เช่นนั้นก็หมายความว่าตัวสำนึกของตนสัมผัสการคงอยู่ของนางไม่ได้เลยด้วยซ้ำมิใช่หรือ?

ต้องท้าวความก่อนว่าตัวสำนึกของหลัวซิวได้รับการปลุกเสกโดยพลังญาณเทวเชียวนะ ลู่เมิ่งเหยามีศักยภาพระดับนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

ในขณะเดียวกันหลัวซิวยังสังเกตเห็นอีกด้วยว่า ผลการฝึกตนของลู่เมิ่งเหยาบรรลุถึงแดนเทพมารระดับเก้าแล้ว!

“นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?”

หลัวซิวผงะทันที เขาทำการย้อนเวลาในค่ายวาร์ปในทะเลทราย อีกทั้งซื้อข่าวคราวในหอเอียงกายแห่งเมืองทรายดูด เมื่อสองร้อยปีก่อนลู่เมิ่งเหยายังอยู่แค่แดนเทพมารระดับเจ็ดเท่านั้น 

นี่เพิ่งจะผ่านไปสองร้อยปีเอง นางก็บรรลุจากเทพมารระดับเจ็ดขึ้นมาเป็นเทพมารระดับเก้าแล้วหรือ?

แม้แต่ตัวหลัวซิวเองก็มั่นใจว่าตนไม่มีทางฝึกตนได้รวดเร็วเช่นนี้แน่นอน โดยเฉพาะตั้งแต่ผลการฝึกตนของเขาบรรลุถึงเทพมารระดับแปดเป็นต้นมา ความเร็วในการยกระดับผลการฝึกตนก็ช้าลงอย่างเห็นได้ชัดเจน

คนหนึ่งอยู่บนพื้นดิน คนหนึ่งอยู่ด้านล่างพื้นดิน ซึ่งห่างกันเป็นหมื่นเมตร 

ลู่เมิ่งเหยาเงยหน้าขึ้นมากะทันหัน ดวงตาที่ใสแจ๋วคู่นั้นมองทะลุพื้นดินที่ขวางกั้นอยู่เป็นหมื่นเมตร แล้วสบตากับหลัวซิว

หลัวซิวสังเกตความเปลี่ยนแปลงเสี้ยวหนึ่งได้จากแววตานาง ถึงแม้ความเปลี่ยนแปลงนี้จะเล็กน้อยมาก ๆ แต่เขาก็สังเกตเห็นอยู่ดี 

ทว่าสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจคือลู่เมิ่งเหยาไม่พูดอะไรสักคำ จู่ ๆ เงาร่างก็หายไป แม้นตัวสำนึกของหลัวซิวจะได้รับการปลุกเสกโดยพลังญาณเทว เขาก็สัมผัสนางไม่ได้แล้ว

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

การปรากฏและการจากไปของลู่เมิ่งเหยาเต็มเปี่ยมไปด้วยข้อสงสัย สิ่งเดียวที่หลัวซิวสามารถยืนยันได้คือต้องมีเรื่องราวอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับลู่เมิ่งเหยาแน่นอน นี่จึงทำให้เขารู้สึกกังวลใจเล็กน้อย 

“ญาณเทว!”

ญาณเทวชีวีที่คุ้มกันรักษาอยู่ในตัวหยั่งรู้ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมากะทันหัน ตัวสำนึกของหลัวซิวจึงผนึกรวมกันจนถึงขีดสูงสุดภายในเสี้ยววินาที ทว่าภายใต้เขตพื้นที่ที่ตัวสำนึกของเขาปกคลุม กลับไม่พบออร่าของลู่เมิ่งเหยาอีกเช่นเคย 

“ฮู่วว……”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: มหายุทธ์ สะท้านภพ